
บทเรียนโครงการชุมชนน่าอยู่: โมเดล รพ.สต.นาหลวง พื้นที่บ้านนาฝาย ม.2 จ.แพร่
บทเรียนการดำเนินงานของกลไกการดำเนินงานโครงการชุมชนน่าอยู่ โมเดล รพ.สต. (รพ.สต.นาหลวง)
พื้นที่โครงการชุมชนน่าอยู่ หมู่บ้านนาฝาย หมู่ที่ 2 ตำบลสะเอียบ อำเภอสอง จังหวัดแพร่
โดย นายพิชญ์ทิภัทร รัตนจันทร์กุล
ทีมสนับสนุนวิชาการ หน่วยจัดการชุมชนน่าอยู่ภาคเหนือ
1.บริบทของพื้นที่
ชุมชนบ้านนาฝาย เป็นชุมชนขนาดเล็กตั้งอยู่ หมู่ที่ 2 ตำบลสะเอียบ อำเภอสอง จังหวัดแพร่ มีครัวเรือนทั้งหมด 153 ครัวเรือน (แต่มีบ้าน จำนวน 122 หลัง) จำนวนประชากรทั้งหมด 396 คน แบ่งออกเป็น ชาย จำนวน 203 คน หญิง จำนวน 193 คน แต่อาศัยอยู่จริง จำนวน 293 คน แบ่งออกเป็น ชาย 147 คน หญิง 146 คน เป็นเด็กที่มีอายุระหว่าง 7-15 ปี จำนวน 25 คน ผู้สูงอายุ จำนวน 63 คน ประชาชนส่วนใหญ่จึงประกอบอาชีพทำไร่ข้าวโพด โดยอาศัยน้ำจากน้ำฝนปีละ 1 ครั้ง ส่วนการทำนาเป็นการทำเพื่อบริโภคในครัวเรือน อาชีพนอกฤดูกาลคือการเก็บและหาของป่า เช่น เห็ด หน่อไม้ เป็นต้น ลักษณะสังคมส่วนใหญ่เป็นครอบครัวขยาย คนในชุมชนส่วนใหญ่เป็นเครือญาติเดียวกัน ประชากรที่อาศัยอยู่ในชุมชนส่วนใหญ่เป็นประชากรวัยทำงาน ผู้สูงอายุและเด็ก ส่วนวัยรุ่นและวัยกลางคนส่วนใหญ่จะออกไปดำเนินชีวิตอยู่นอกชุมชน เช่น ออกไปเรียนหนังสือออก ไปทำงานต่างจังหวัด เป็นต้น ลักษณะการดำเนินชีวิตของคนในชุมชนเป็นการพึ่งพาธรรมชาติเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งมีด่านป่าไม้ อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติแม่ยม
ปัญหาก่อนดำเนินโครงการ คนในชุมชนมีวิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมที่หาเช้ากินค่ำเพื่อหารายได้จุนเจือครอบครัว ทำให้การดำเนินชีวิตแต่เดิมตื่นเช้าทำกับข้าว ตกเย็นทำกับข้าว เปลี่ยนเป็นตอนเช้าไปตลาดซื้อกับข้าวสำเร็จรูป ตอนเย็นไปตลาดซื้อกับข้าวสำเร็จรูป การพึ่งพาสิ่งอำนวยความสะดวกและเครื่องทุ่นแรง สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นส่วนหนึ่งที่ก่อให้เกิดปัญหาขยะตามมาอย่างไม่รู้ตัว ปัจจุบันพบว่าการทำกิจกรรมในชุมชนก่อให้เกิดขยะในชุมชน เฉลี่ยวันละ 1.5 กิโลกรัมต่อครัวเรือนต่อวัน โดยขยะส่วนใหญ่เป็นขยะประเภทขยะเปียก รองลงมาคือประเภทถุงพลาสติก ขวดพลาสติก เศษแก้ว กล่องโฟม กระป๋องอะลูมิเนียม และพบว่าคนในชุมชนไม่มีการคัดแยกขยะ สิ่งของเหลือใช้ ทั้งที่เป็นวัสดุเศษพืช เศษอาหารและอุปกรณ์ต่างๆที่เกิดจากการดำเนินกิจกรรมที่ไม่สามารถใช้งานได้แล้ว เปลี่ยนแปลงเป็นขยะและถูกนำไปทิ้งรวมกัน ซึ่งปัญหาที่ตามมาคือขยะ โดยในบ่อขยะของชุมชนมีปริมาณมาก ชุมชนต้องคอยหาพื้นที่ในการทิ้งขยะใหม่ต้องจัดทำบ่อกำจัดขยะของชุมชน 3-4 ปีต่อครั้ง ซึ่งปัญหาที่ตามมาคือชุมชนที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ป่าสงวน เมื่อจะขุดบ่อขยะจะต้องดำเนินการขอจากกรมป่าไม้อย่างถูกต้องและใช้งบประมาณในการดำเนินการเป็นจำนวนมาก ซึ่งชุมชนขาดปัจจัยในการดำเนินการจึงเป็นปัญหาที่จะต้องพึ่งพาองค์การบริหารส่วนตำบลสะเอียบ หรือหน่วยงานอื่น ๆในการดำเนินการ บ่อยครั้งที่ปัญหาขยะในชุมชนที่ดูเหมือนจะไม่ใช่ปัญหาหนักแต่ก็สร้างความรำคาญให้คนในชุมชน เช่น ปัญหาจากแมลงวัน ปัญหาหมาคุ้ยขยะ ปัญหากลิ่นเน่าเหม็น ปัญหากลิ่นเหม็นจากการเผาขยะของชุมชน เป็นต้น นอกจากนี้คนในชุมชนยังต้องเสียเงินในการจัดการขยะเฉลี่ยเดือนละ 20 บาทต่อครัวเรือน เพื่อเป็นค่าการจัดเก็บขยะเดือนละ 2 ครั้ง ด้วยปัญหาดังกล่าวทำให้ผู้นำชุมชนมองว่าหากชุมชนสามารถจัดการขยะได้อย่างถูกต้องตั้งแต่ต้นทาง และการกำจัดขยะที่ไม่สามารถคัดแยกไปใช้ประโยชน์ได้อย่างถูกต้องจะทำให้ชุมชนสามารถลดปัญหาต่างๆที่กล่าวมาได้
ทุนศักยภาพของชุมชน ชุมชนบ้านนาฝาย เป็นชุมชนขนาดเล็ก มีคณะกรรมการหมู่บ้านเป็นองค์กรหลักในการบริหารจัดการการดำเนินกิจกรรมต่างๆของชุมชน ซึ่งปัจจุบันลักษณะการดำเนินงานในชุมชนยังเป็นการพึ่งพาหรือการดำเนินงานตามคำสั่งการของรัฐ ชุมชนมีการจัดทำแผนชุมชนแต่ส่วนใหญ่เป็นแผนในด้านโครงสร้างเป็นหลัก และแผนการดำเนินงานหรือแผนชุมชนนั้นยังเป็นแผนที่มาจากคณะกรรมการหมู่บ้านเป็นผู้คิดเป็นหลัก แล้วนำไปทำประชาคมในชุมชน โดยในกระบวนการการทำแผนชุมชนนั้นมิได้ให้คนในชุมชนทั้งหมดมีส่วนร่วมในการดำเนินงาน เนื่องจากการทำแผนชุมชนเป็นสิ่งที่ยาก การทำแผนชุมชนยังต้องอาศัยผู้รู้จากภายนอก การคิดวิเคราะห์ขาดความร่วมมือจากหลายภาคส่วนในชุมชนทำให้แผนของชุมชนไม่ครอบคลุมปัญหาทั้งหมดของชุมชน โดยหน่วยงานหรือองค์กรต่างๆที่สำคัญ ได้แก่ 1.คณะกรรมการหมู่บ้าน 2.กลุ่มแม่บ้าน 3.กลุ่มออมทรัพย์ 4.กลุ่มเงินล้าน 5.กลุ่มเยาวชน 6.กลุ่ม อสม. 7.กลุ่มผู้สูงอายุ ซึ่งกลุ่มทั้งหมดที่อยู่ในชุมชนยังมีการดำเนินงานที่แยกกันอยู่ ไม่มีการร่วมมือกันหรือประชุมร่วมกันทั้งด้านทรัพยากรและบุคคล ในการมองปัญหาของชุมชนจะมองแยกกันออกเป็นเรื่องๆและแก้ปัญหากันเป็นเรื่องๆไป เช่น ปัญหาผู้สูงอายุก็ให้กลุ่มผู้สูงอายุเป็นผู้ดำเนินงาน ปัญหาด้านสุขภาพก็ให้ อสม.เป็นหลัก ปัญหาด้านการเงินก็ให้กลุ่มออมทรัพย์หรือกลุ่มเงินล้านเป็นหลัก กลุ่มเหล่านี้มีหน้าที่ของตนเอง แต่ไม่ได้ทำงานประสานกันเพื่อแก้ไขปัญหาโดยรวมของชุมชน ทุนทางสังคม ประกอบด้วย กลุ่มสตรี ชมรมผู้สูงอายุ ชมรมเกษตรอินทรีย์ กลุ่มเงินล้าน กลุ่มชาวนา และวัดนาฝาย เป๋นสถานที่ประกอบพิธีทางศาสนาพุทธ และชาวบ้านมีความเชื่อเรื่องผีปู่ผีย่า เป็นความเชื่อที่ผูกมัดผู้คนในเครือญาติให้รักและสามัคคีกัน เป็นกุศโลบายให้คนในสายเครือญาติรู้จักและไม่ทอดทิ้งกัน มีความเชื่อเรื่องผีป่าเขา เป็นความเชื่อที่ว่าผู้ที่จะเข้าป่าต้องขอขมาเจ้าป่าเจ้าเขาและต้องเคารพป่า เป็นกุศโลบายที่บรรพบุรุษทิ้งไว้เพื่อให้คนเบื้องหลังอยู่กับป่าด้วยความเคารพและไม่ทำร้ายป่า ทุนทางธรรมชาติ อดีตเต็มไปด้วยป่าไม้ที่มีความอุดมสมบูรณ์ เป็นทั้งแหล่งอาหารและสมุนไพร และทุนทางการศึกษา เดิมบ้านนาฝายมีโรงเรียนนาฝายอยู่ในชุมชน แต่เนื่องจากเด็กนักเรียนมีจำนวนน้อย จึงถูกยุบไป จึงไปเรียนร่วมกันกับเด็กนักเรียนหมู่บ้านอื่นๆที่โรงเรียนบ้านนาหลวง ที่เป็นสถานศึกษาได้รับรางวัลสถานศึกษาดีเด่น ส่งเสริมเศรษฐกิจพอเพียงตามศาสตร์พระราชา และส่งเสริมการอนุรักษ์ธรรมชาติ ป่าไม้ น้ำ ปลูกฝังเยาวชนให้มีจิตสำนึกรักษ์บ้านเกิด
2.การก่อตัวของกลไกพี่เลี้ยง รพ.สต./อปท.
1) จำนวนพี่เลี้ยงใน รพ.สต. การจัดโครงสร้างทีมพี่เลี้ยง ชุมชนบ้านนาฝาย ขับเคลื่อนภายใต้ประเด็นการจัดการขยะและสิ่งแวดล้อมในชุมชน และมีรูปแบบการพัฒนาโครงการในรูปแบบของโมเดล รพ.สต.ซึ่งมีพี่เลี้ยงจากโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลนาหลวงและเครือข่ายสาธารณสุขตำบลสะเอียบ จำนวนทั้งหมด 5 คน ร่วมเป็นที่ปรึกษาขับเคลื่อนโครงการ โดยมีพี่เลี้ยงสภาผู้นำชุมชนเดิม หรือ Super Coach จากบ้านนาหลวง คือนายโยธิน หนองซิว (นักวิชาการสาธารณสุขชำนาญการ) ผู้อำนวยการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลนาหลวงเป็นพี่เลี้ยงหลัก และมีพี่เลี้ยง รพ.สต. คือ นักวิชาการสาธารณสุขจำนวน 3 คน จากทั้ง 3 รพ.สต. คือ รพ.สต.นาหลวง รพ.สต.สะเอียบ และรพ.สต.บ้านป่าเลา และมีพี่เลี้ยงจาก อบต.สะเอียบ จำนวน 1 คน คือ นักวิเคราะห์นโยบายและแผน
โดยการจัดโครงสร้างทีมพี่เลี้ยง และการบริหารจัดการภายในทีม ให้เกิดความคล่องตัว เกิดรูปธรรมในการหนุนเสริมสภาผู้นำชุมชนได้นั้น จำเป็นต้องมีพี่เลี้ยง รพ.สต.ในพื้นที่เป็นพี่เลี้ยงหลัก ในการหนุนเสริมการทำงานที่ต่อเนื่อง ซึ่งบ้านนาฝาย หมู่ที่ 2 มีพี่เลี้ยงโมเดล รพ.สต.หลัก คือ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลนาหลวง นายโยธิน หนองซิว (นักวิชาการสาธารณสุขชำนาญการ) และมีพี่เลี้ยง รพ.สต.นาหลวง ตำแหน่งนักวิชาการสาธารณสุข จำนวน 1 คน รับผิดชอบดูแลเป็นพี่เลี้ยงที่ปรึกษาหลัก และเป็นเจ้าหน้าที่ รพ.สต.ในพื้นที่ ทำให้การประสานงาน การลงพื้นที่ติดตามเยี่ยมชุมชน หนุนเสริมการทำงานได้ดีในระดับหนึ่ง ซึ่งสภาผู้นำชุมชนสามารถเป็นผู้ตัดสินใจและดำเนินงานต่างๆในชุมชนกันเองเป็นส่วนใหญ่ แต่ยังต้องการพี่เลี้ยงช่วยให้ข้อเสนอแนะในบางประเด็นเท่านั้น
2) สมรรถนะพี่เลี้ยงใน รพ.สต. พบว่า อยู่ในขั้นที่ 4 พี่เลี้ยง รพ.สต. สามารถขับเคลื่อนงานร่วมกันระหว่าง รพ.สต. ชุมชน และภาคีได้ โดยพี่เลี้ยงหลักคือ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลนาหลวง สามารถหนุนเสริมให้ทีมสภาผู้นำชุมชน ร่วมเป็นคณะอนุกรรมการกองทุนหลักประกันสุขภาพตำบล อบต.สะเอียบ และร่วมเป็นคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับตำบล (พชต.) ตำบลสะเอียบได้ สามารถหนุนเสริมชุมชนในการจัดทำแผนงานโครงการหรือกิจกรรมเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาสุขภาพอย่างน้อย 1 ประเด็น โดยใช้กลไกการมีส่วนร่วมจัดทำแผนงานโครงการ ระหว่างทีมสภาผู้นำชุมชน และรพ.สต. ที่สอดคล้องกับแผนปฏิบัติการด้านสาธารณสุขของ รพ.สต. บรรจุอยู่ในแผนชุมชนพึ่งตนเองของหมู่บ้านได้ ครอบคลุมทุกด้าน ทุกประเด็น (ทำเอง ทำร่วม ทำขอ) โดยเชื่อมโยงจากโครงการเดิมและเชื่อมต่อกับแผนงาน/โครงการของรพ.สต.เพื่อจัดการระบบบริการสุขภาพ เช่น โครงการโรคโควิด-19 โครงการสร้างเสริมสุขภาพลดความเสี่ยงโรคเรื้อรัง โครงการจัดการขยะและสิ่งแวดล้อม โครงการป้องกันควบคุมโรคไข้เลือดออก โครงการจัดการจุดเสี่ยงลดอุบัติเหตุทางถนน โครงการส่งเสริมกิจกรรมสำหรับผู้สูงอายุ โครงการหมอในชุมชน เป็นต้น
พบว่า การสร้างทีมพี่เลี้ยงที่มีสมรรถนะได้นั้น จำเป็นต้องเปิดใจพร้อมเรียนรู้สิ่งใหม่ และต้องมีความรู้ ความเข้าใจ เรื่องแนวคิดชุมชนน่าอยู่และกลไกสภาผู้นำชุมชน และมีพื้นฐานความรู้ความเข้าใจระบบการบริการด้านสุขภาพและงานสร้างเสริมสุขภาพแบบมีส่วนร่วม และเชื่อมโยงสู่แผนสุขภาพตำบล และที่สำคัญต้องมีใจเป็นหนึ่งเดียวกับชุมชน ยึดชุมชนเป็นศูนย์กลาง และรับรู้อุปสรรค รับประโยชน์ที่ได้รับร่วมกันทั้งสองฝ่าย
3.กลไกพี่เลี้ยง รพ.สต./อปท.
1) การกำหนดการกิจของทีมพี่เลี้ยง ทั้งในการเป็นผู้พัฒนาชุมชน และภารกิจของหน่วยงาน โดยผู้อำนวยการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลนาหลวง และสภาผู้นำชุมชนบ้านนาฝาย ร่วมกันกำหนดภารกิจของการดำเนินการประเด็นหลักร่วมกันคือ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เพิ่มการคัดแยกขยะ และลดปริมาณขยะในชุมชน จึงมีการกำหนดภารกิจหลักแก่ทีมพี่เลี้ยงในการหนุนเสริมชุมชน และร่วมพัฒนาชุมชนเพื่อให้สอดคล้องกับผลลัพธ์เชิงประเด็นของชุมชนและตัวชี้วัดของหน่วยงาน คือ การจัดการปัญหาขยะในชุมชน โดยปริมาณขยะในชุมชนที่เหลือจากการคัดแยกและใช้ประโยชน์ลดลงร้อยละ 60 จากเดิม 50 กิโลกรัมต่อครัวเรือนต่อเดือน เหลือ 20 กิโลกรัมต่อครัวเรือนต่อเดือนและลดปัจจัยที่เป็นสาเหตุของการเจ็บป่วยจากโรคที่มีความสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อม ( โรคไข้เลือดออก โรคซิก้า โรคอุจจาระ ลดลง ร้อยละ 20 จากค่ามัธยฐาน 5 ปี) ตาม MOU ว่าด้วยการดำเนินงานการจัดการสุขภาพระดับปฐมภูมิ ด้วยกลไกสภาผู้นำชุมชน ภายใต้การดำเนินงานโครงการชุมชนน่าอยู่ (Model รพ.สต.) การประสานความร่วมมือกับ รพ.สต.ในการขับเคลื่อนนโยบายการจัดการขยะและสิ่งแวดล้อม GREEN & CLEAN HOSPITAL และการดำเนินงานชุมชนสิ่งแวดล้อมเข็มแข็ง ACTIVE COMMUNINY กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข
ทั้งนี้ เงื่อนไขสำคัญที่ทำให้การกำหนดการกิจของทีมพี่เลี้ยง ทั้งในการเป็นผู้พัฒนาชุมชน และภารกิจของหน่วยงาน ได้รับการยอมรับของทุกฝ่าย จำเป็นต้องรับรู้และเข้าใจตัวชี้วัดร่วม หรือเป้าหมายร่วมที่ทั้ง 2 ฝ่ายได้ประโยชน์ ซึ่งภารกิจในครั้งนี้ตอบโจทย์ในภาพรวมของตำบลสะเอียบ ซึ่งองค์การบริหารส่วนตำบลสะเอียบ ได้มีการลงนามบันทึกข้อตกลง MOU ว่าด้วยการจัดการขยะมูลฝอยในครัวเรือน ร่วมกับผู้นำชุมชน และหน่วยงานต่างๆในพื้นที่ทั้ง 10 หมู่บ้าน ด้วย อาทิเช่น โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลทั้ง 3 แห่งคือ รพ.สต.นาหลวง รพ.สต.สะเอียบ และรพ.สต.บ้านป่าเลา โรงเรียนทุกแห่งในตำบล ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยตำบลสะเอียบ วัด และเอกชน เป็นต้น และเกิดการจัดตั้งคณะทำงานขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมและขยะตำบลสะเอียบ
2) การสื่อสารภายในทีมและหัวหน้าหน่วยงาน ประเด็นที่จำเป็นต้องสื่อสารต่อเนื่อง ประกอบด้วย ความรู้ความเข้าใจการทำงานชุมชนน่าอยู่ (โมเดล รพ.สต.) อาทิเช่น เรื่องแนวคิดชุมชนน่าอยู่และกลไกสภาผู้นำชุมชน การจัดทำแผนชุมชนพึ่งตนเอง การประเมินผลเพื่อการเรียนรู้และพัฒนา (ARE) และระบบการบริการด้านสุขภาพและงานสร้างเสริมสุขภาพแบบมีส่วนร่วม และเชื่อมโยงสู่แผนสุขภาพตำบล และออกแบบและเก็บข้อมูลสถานะสุขภาพของ รพ.สต. และข้อมูลเชิงประเด็นของทีมสภาผู้นำชุมชน รวมถึงการประสานการทำงานระหว่าง รพ.สต. สภาผู้นำชุมชนและหน่วยจัดการชุมชนน่าอยู่ภาคเหนือและภาคีในพื้นที่ตำบลสะเอียบ
ทั้งนี้ เงื่อนไขสำคัญที่ทำให้การสื่อสารต่อเนื่อง เกิดประสิทธิผล นำไปสู่ความเข้าใจและทักษะได้นั้นจำเป็นต้อง มีการประชุมอย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง มีการหารือโครงการ สสส. และประเด็นอื่นๆในชุมชน และมีรายงานการประชุมทุกครั้ง และทุกคนสามารถเสนอความคิดเห็นในที่ประชุม มีช่องทางการสื่อสารที่พี่เลี้ยงเข้าถึงง่าย เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร ความก้าวหน้าในการทำงานทุกงานที่ชุมชนดำเนินการให้สมาชิกทีมพี่เลี้ยงรับทราบอย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง เพื่อช่วยกันวิเคราะห์จุด่อน จุดแข็งของชุมชน นำไปสู่การหนุนเสริมและแก้ไขปัญหาของชุมชนได้ทันเวลา ไม่มีความเสี่ยงระหว่างดำเนินงาน เช่น การจัดกิจกรรมตามกำหนดการ การเบิกจ่ายเงิน เอกสารการเงิน เอกสารสรุปความก้าวหน้า และการทำงานภายในทีมของสภาผู้นำชุมชน เป็นต้น
3) สภาผู้นำชุมชนเป็นผู้ตัดสินใจ และดำเนินงานต่างๆในชุมชนได้เองทั้งหมด โดยไม่ต้องพึ่งพาพี่เลี้ยง
วิธีการสื่อสารกับหัวหน้าหน่วยงานกรณีที่หัวหน้าไม่ได้เป็นพี่เลี้ยง
– รูปแบบการเรียนรู้ภายในทีม ใช้แนวทางการเรียนรู้จากการปฏิบัติจริงและมีส่วนร่วม โดยจำเป็นต้อง แผนในการหนุนเสริมการทำงานของทีมสภาผู้นำชุมชนด้วย จึงจะส่งผลต่อการเรียนรู้ภายในทีมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
– การสร้างการมีส่วนร่วมของทีมและการร่วมแก้ไขปัญหา ได้ดำเนินการโดย พี่เลี้ยง ต้องเข้าร่วมเข้าประชุมและร่วมกิจกรรมไม่น้อยกว่าร้อยละ 65 ของกิจกรรมในชุมชน และในการประชุมหรือร่วมกิจกรรม ผู้เข้าร่วมสามารถแสดงความคิดเห็น ร่วมตัดสินใจเรื่องการดำเนินงาน และเสนอแนะ พิจารณาปัญหาใหม่ๆ รวมทั้งมีการร่วมติดตามประเมินผลได้ทุกคน โดยจำเป็นต้องเปิดโอกาสให้พี่เลี้ยงและสมาชิกชุมชนเข้าประชุมและร่วมกิจกรรมไม่น้อย กว่าร้อยละ 65 และสมาชิกชุมชนทุกคน สามารถแสดงความคิดเห็นมากขึ้น หรือมีสมาชิกหน้าใหม่ร่วมแสดงความคิดเห็นมากขึ้น สมาชิกชุมชนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจมากขึ้น หรือมีสมาชิกหน้าใหม่ร่วมตัดสินใจ และสมาชิกชุมชนมีข้อเสนอแนะ หรือให้ทางเลือกใหม่ๆ ในการแก้ปัญหาชุมชนมากขึ้น และเพิ่มประสิทธิภาพการมีส่วนร่วมของทีมพี่เลี้ยงและสภาผู้นำชุมชน โดยเปิดโอกาสให้สมาชิกชุมชนมีส่วนร่วมในการติดตามประเมินผล หรือสามารถร่วมประเมินความสำเร็จของชุมชนได้ จึงจะส่งผลต่อการมีส่วนร่วมของทีมและการร่วมแก้ไขปัญหาทั้งในส่วนของทีมงานและต่อกลไกสภาผู้นำชุมชนในแต่ละหมู่บ้านได้
4.การบริหารจัดการเป้าหมายร่วมของพื้นที่
1) การกำหนดเป้าหมายร่วมกันระหว่าง รพ.สต.นาหลวง รพ.สต.สะอียบ รพ.สต.บ้านป่าเลา องค์การบริหารส่วนตำบลสะเอียบ และสภาผู้นำชุมชนบ้านนาฝาย ได้มีการกำหนดเป้าหมายร่วมกัน คือ ปริมาณขยะในชุมชนที่เหลือจากการคัดแยกและใช้ประโยชน์ลดลงร้อยละ 60 จากเดิม 50 กิโลกรัมต่อครัวเรือนต่อเดือน เหลือ 20 กิโลกรัมต่อครัวเรือนต่อเดือน และลดปัจจัยที่เป็นสาเหตุของการเจ็บป่วยจากโรคที่มีความสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อม ( โรคไข้เลือดออก โรคซิก้า โรคอุจจาระ ลดลง ร้อยละ 20 จากค่ามัธยฐาน 5 ปี) โดยการกำหนดเป้าหมายร่วมกันให้เกิดการยอมรับ นำไปสู่การบรรลุเป้าหมายได้จริง จำเป็นต้อง ใช้ข้อมูลชุดเดียวกันและมีการกำหนดข้อตกลงร่วมกัน
2) การวางแผนการดำเนินงานร่วมกันระหว่าง รพ.สต.นาหลวง รพ.สต.สะอียบ รพ.สต.บ้านป่าเลา องค์การบริหารส่วนตำบลสะเอียบ และสภาผู้นำชุมชนบ้านนาฝาย จากเป้าหมายร่วมที่กำหนดด้วยการรวบรวมข้อมูลปริมาณขยะทั้งหมดในครัวเรือนต่อเดือน ครัวเรือนที่มีการคัดแยกขยะก่อนทิ้งและมีการใช้ประโยชน์จากขยะที่ผ่านการคัดแยก จำนวนกิจกรรมการประชุม อบรม งานศพ งานบุญต่างๆ ของชุมชน ที่เป็นแหล่งกำเนิดขยะพลาสติกและกล่องโฟมบรรจุอาหาร ปริมาณขยะอันตรายและขยะติดเชื้อในชุมชน รวมถึงค่าดัชนีลูกน้ำยุงลายในบ้าน (House Index) HI และค่าดัชนีลูกน้ำยุงลายในภาชนะ (Container Index) CI และอัตราป่วยด้วยโรคที่มีปัจจัยที่เป็นสาเหตุของการเจ็บป่วยจากโรคที่มีความสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อม เช่น โรคไข้เลือดออก โรคซิก้า โรคอุจจาระ ลดลง ร้อยละ 20 จากค่ามัธยฐาน 5 ปี มาประมวลผล จัดเวทีประชาคมทำความเข้าใจโครงการร่วมกับสมาชิกชุมชนรวมถึงการคืนข้อมูลให้แก่สมาชิกชุมชน
ทั้งนี้ จะต้องร่วมกันวิเคราะห์จุดเสี่ยง ค้นหาปัจจัยที่ทำให้เกิดขยะ เพื่อทำแผนการปรับปรุงจุดเสี่ยงต่อการทิ้งขยะ หรือแหล่งเพาะพันธ์เชื้อโรคที่เกิดจากขยะ โดยร่วมกันออกความคิดเห็น เพื่อทำความเข้าใจร่วมกันถึงลักษณะของขยะและการเกิดโรค และร่วมกันคัดเลือกและจัดลำดับจุดเสี่ยงที่ต้องการทำการปรับปรุงแก้ไขก่อน-หลัง และกำหนดข้อตกลงร่วมของชุมชนในการแก้ไขปัญหาขยะที่ชุมชนสามารถดำเนินการได้เอง จึงจะเกิดการยอมรับ จัดแบ่งหน้าที่และ นำไปสู่การปฏิบัติได้จริง
3) การดำเนินงานและการจัดการทรัพยากรร่วมกันระหว่าง รพ.สต.นาหลวง รพ.สต.สะอียบ รพ.สต.บ้านป่าเลา องค์การบริหารส่วนตำบลสะเอียบ และสภาผู้นำชุมชนบ้านนาฝาย จากแผนการดำเนินร่วมที่กำหนด โดยที่ผ่านมาได้จัดการทรัพยากร คือ การแบ่งปันข้อมูลร่วมกัน ด้วยการเก็บ รวบรวมข้อมูลและบันทึกผลในชุดข้อมูลแหล่งเดียวกัน เพื่อป้องกันการซ้ำซ้อนของข้อมูล หรือป้องกันการคลาดเคลื่อนของข้อมูลนั้นๆ โดยมีสิ่งที่ขาดไม่ได้หรือต้องมีเงื่อนไข คือ การออกแบบการเก็บข้อมูลชุดเดียวกัน หรือ ใช้แบบฟอร์มเดียวกัน
4) การติดตามและประเมินผลร่วมกันระหว่าง รพ.สต.นาหลวง รพ.สต.สะอียบ รพ.สต.บ้านป่าเลา องค์การบริหารส่วนตำบลสะเอียบ และสภาผู้นำชุมชนบ้านนาฝาย เพื่อให้บรรลุเป้าหมายร่วมที่กำหนดร่วมกัน ด้วยการ ร่วมประชุมประจำเดือนของสภาผู้นำชุมชน หรือของหมู่บ้านหรือของ รพ.สต. โดยมีขั้นตอนสำคัญ คือ 1) สรุปข้อมูลเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพที่สอดคล้องกับตัวชี้วัดในผลลัพธ์ประเด็นนั้นๆ 2) สะท้อนผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริงตามระยะเวลาที่ดำเนินโครงการ 3) เปรียบผลลัพธ์ที่ได้ว่าบรรลุเป้าหมายร่วมที่กำหนดไว้หรือไม่ 4) แลกเปลี่ยนเรียนรู้สิ่งดีๆที่เกิดขึ้น และร่วมเสนอแนะแนวทางการพัฒนาให้ดีขึ้นหรือแนวทางปรับปรุงให้บรรลุเป้าหมายร่วมที่กำหนดไว้ ทั้งนี้ ทุกครั้งจำเป็นต้องมีหรือต้องใช้ ข้อมูลจริงที่เก็บรวบรวมได้มาอ้างอิงและใช้จริงเป็นรูปธรรม จึงจะเกิดประโยชน์จากรูปแบบของการติดตามและประเมินผลร่วมกันระหว่างรพ.สต. และสภาผู้นำชุมขน
5.ผลลัพธ์การเปลี่ยนแปลงของชุมชน
1) ผลลัพธ์สมรรถนะสำคัญและการปรับเปลี่ยนวิธีทำงานของพี่เลี้ยง โดยเกิดผลลัพธ์ในระยะยาวของวิธีทำงานของพี่เลี้ยง คือ พี่เลี้ยง รพ.สต. มีทักษะในการหนุนเสริมการทำงานของสภาผู้นำชุมชนได้อย่างต่อเนื่องและสามารถขับเคลื่อนงานระหว่าง รพ.สต. อปท.และภาคีในชุมชนได้ สามารถหนุนเสริมทีมสภาผู้นำชุมชนร่วมเป็นคณะทำงานขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมและขยะตำบลสะเอียบ ซึ่งเป็นความร่วมมือของสภาผู้นำชุมชนทุกหมู่บ้าน อบต.สะเอียบและรพ.สต.ตำบลสะเอียบทั้ง 3 แห่ง คือ รพ.สต.นาหลวง รพ.สต.สะเอียบ และรพ.สต.บ้านป่าเลา ผ่านการถ่ายทอดแนวคิดชุมชนน่าอยู่และหนุนเสริมชุมชนให้เกิดกลไกสภาผู้นำชุมชน สนับสนุนกระบวนการจัดทำแผนชุมชนพึ่งตนเอง ร่วมออกแบบระบบการบริการด้านสุขภาพ และงานสร้างเสริมสุขภาพแบบมีส่วนร่วม และเชื่อมโยงสู่แผนสุขภาพตำบล หนุนเสริมทีมสภาผู้นำชุมชนร่วมเป็นคณะอนุกรรมการกองทุนหลักประกันสุขภาพตำบล หรือคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับตำบล (พชต.) เกิดการขับเคลื่อนนโยบายการจัดการขยะและสิ่งแวดล้อม GREEN & CLEAN HOSPITAL และขับเคลื่อนชุมชนสิ่งแวดล้อมเข็มแข็ง ACTIVE COMMUNINY ร่วมกัน มีการจัดทำแผนงานโครงการหรือกิจกรรมเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาสุขภาพอย่างน้อย 1 ประเด็น โดยใช้กลไกการมีส่วนร่วมจัดทำแผนงานโครงการ ระหว่างทีมสภาผู้นำชุมชน และ รพ.สต. ที่สอดคล้องกับแผนปฏิบัติการด้านสาธารณสุขของ รพ.สต. บรรจุอยู่ในแผนชุมชนพึ่งตนเอง โดยต้องมีหรือต้องใช้ แนวคิดสาธารณสุขมูลฐานกับการพัฒนาระบบบริการปฐมภูมิ (นโยบาย 3 หมอ) มาประยุกต์ร่วมด้วยจึงจะเกิดสมรรถนะได้ตามที่คาดหวัง ให้สอดคล้องกับบันไดผลลัพธ์ของโมเดล รพ.สต.
2) ผลลัพธ์สมรรถนะของกลไกสภาผู้นำชุมชน โดยเกิดผลลัพธ์ในระยะกลางของวิธีทำงานของสภาผู้นำชุมชน คือ สภาผู้นำชุมชนมีสมรรถนะในการเสริมพลังชุมชนและขับเคลื่อนงานตามแผนชุมชนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในชุมชนได้ โดยต้องมีหรือต้องใช้ เป้าหมายและข้อตกลงร่วมกัน ผ่านการประชุมอย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง มีการหารือโครงการ สสส. และประเด็นอื่นๆในชุมชน และมีรายงานการประชุมทุกครั้ง โดยมีผู้เข้าร่วมประชุมไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของจำนวนสมาชิกสภาผู้นำชุมชน ทุกคนสามารถเสนอความคิดเห็นในที่ประชุมได้ สภาผู้นำชุมชนเป็นผู้ตัดสินใจ และดำเนินงานต่างๆในชุมชนได้เองทั้งหมด โดยไม่ต้องพึ่งพาพี่เลี้ยง สภาผู้นำชุมชนสามารถดำเนินงานได้ตามบทบาทหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย มีการติดตามประเมินผลการดำเนินงานและคืนข้อมูลให้แก่ชุมชน และมีการปรับปรุงการดำเนินงานให้เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนด สภาผู้นำชุมชนมีการบริหารจัดการงบประมาณโครงการ สสส. และโครงการอื่นของชุมชน ด้วยความโปร่งใส จัดทำบัญชีรับจ่ายและแจ้งข้อมูลให้สมาชิกในชุมชนทราบทุกเดือน สภาผู้นำชุมชนสื่อสารข้อมูลข่าวสารความก้าวหน้าในการทำงานทุกงานที่ชุมชนดำเนินการให้สมาชิกชุมชนรับทราบอย่างน้อยเดือนละครั้ง มีสภาผู้นำชุมชน มีที่มาที่หลากหลาย ครบถ้วน จัดทำโครงสร้าง แบ่งบทบาทหน้าที่ชัดเจน และได้รับการยอมรับ จำนวน 20 คน มีองค์ประกอบสภาผู้นำชุมชน ดังนี้ ผญบ. 1 คน ผช.ผญบ. 2 คน ส.อบต. 2 คน ตำแหน่งเดิม กรรมการหมู่บ้าน 3 คน อสม. 2 คน ตัวแทนกลุ่มอาชีพ 4 คน หัวหน้าคุ้ม 3 คน ตัวแทนกองทุนต่างๆ 2 คน อื่นๆจิตอาสา 1 คน และได้รับการพัฒนาศักยภาพ และมีความรู้ในการขับเคลื่อนการดำเนินงานโครงการ โดยเน้นการพัฒนาทักษะการใช้เครื่องมือชุมชนน่าอยู่ของ สสส. การจัดทำแผนชมชนพึ่งตนเอง การทำงานเป็นทีม การจัดการสิ่งแวดล้อมและขยะ ซึ่งได้รับการหนุนเสริมพลังจากพี่เลี้ยงชุมชนน่าอยู่เดิม บ้านนาหลวงและโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลนาหลวงอย่างต่อเนื่อง จำนวน 3 ครั้ง พบระดับความสุขของประชาชนในชุมชนอายุ 15 ปีขึ้นไปเพิ่มขึ้นจากเดิม ถ้าตัวเลข 0 -10 ร้อยละ 50 จากระดับเดิม โดยทำการเก็บข้อมูล 198 คน มีระดับความสุขเฉลี่ย 8.48 เพิ่มขึ้นจากเดิมที่ 5.7 จึงจะเกิดสภาที่มีสมรรถนะได้ตามที่คาดหวัง ที่สอดคล้องกับบันไดผลลัพธ์และ ความเข้มแข็ง 9 มิติได้
3) ผลลัพธ์การเปลี่ยนแปลงของประเด็นสุขภาพที่ดำเนินการร่วมกัน คือ ประเด็นการจัดการขยะ โดยเกิดผลลัพธ์ในระยะกลาง โดยครัวเรือนกลุ่มเป้าหมาย 96 ครัวเรือน คิดเป็นร้อยละ 94 มีการคัดแยกขยะและใช้ประโยชน์จากขยะที่ผ่านการคัดแยก มีการนำขยะอินทรีย์มาทำปุ๋ยหมัก/น้ำหมักชีวภาพ และกิจกรรมการประชุม อบรม งานศพ งานบุญต่างๆ ของชุมชน ลดการใช้ขยะพลาสติกและกล่องโฟมบรรจุอาหาร จำนวน 7 งาน คิดเป็นร้อยละ 38.9 จากจำนวนงานเดิม 18 งานต่อปี ชุมชนมีจุดสาธิตการคัดแยกขยะ จุดทิ้งขยะอันตรายและขยะติดเชื้อที่ถูกต้อง จำนวน 2 จุด ครัวเรือนในชุมชนลดการเผาขยะ 96 ครัวเรือน คิดเป็นร้อยละ 94 ครัวเรือนจำนวน 122 ครัวเรือนได้รับการติดตามเยี่ยมบ้านและสำรวจการจัดการขยะและพบค่าดัชนีลูกน้ำยุงลายในบ้าน HI เท่ากับ 4.10 และค่าดัชนีลูกน้ำ ยุงลายในภาชนะ CI เท่ากับ 2.07 และร้อยละ 100 ของขยะอันตรายและขยะติดเชื้อในชุมชนได้รับการจัดการอย่างถูกต้อง ส่งผลให้ปริมาณขยะในชุมชนที่เหลือจากการคัดแยกและใช้ประโยชน์ลดลงร้อยละ 74.0 จากเดิม 50 กิโลกรัมต่อครัวเรือนต่อเดือน เหลือเฉลี่ย 13 กิโลกรัมต่อครัวเรือนต่อเดือน การเจ็บป่วยจากโรคที่มีความสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อม โรคไข้เลือดออก โรคซิก้า โรคอุจจาระ ลดลง ร้อยละ 20 จากค่ามัธยฐาน 5 ปี ตัวชี้วัดร่วม รพ.สต. ในช่วงเดือนตุลาคม 2564 -กันยายน 2565 อัตราป่วยเท่ากับ 0 และสภาผู้นำชุมชนบ้านนาฝายและรพ.สต.นาหลวง เกิดการขับเคลื่อนนโยบายการจัดการขยะและสิ่งแวดล้อมและขับเคลื่อนชุมชนสิ่งแวดล้อมเข็มแข็งร่วมกัน โดยมีการทบทวนตัวชี้วัดและออกแบบการเก็บข้อมูลและกิจกรรมที่เกี่ยวข้องและร่วมเป็นคณะทำงานขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมและขยะตำบลสะเอียบ เพื่อขับเคลื่อนปัญหาสุขภาพที่สอดคล้องกับแผนชุมชนในระดับตำบล ซึ่งมีการประเมินตนเองอยู่ในระดับ ความเข้มแข็งอย่างยั่งยืน ผ่านการประเมินทั้ง 11 ข้อ โดยต้องมีหรือต้องใช้ข้อมูลชุดเดียวกันและมีการกำหนดข้อตกลงร่วมกัน จึงจะเกิดผลลัพธ์ได้ตามที่กำหนดไว้ในวัตถุประสงค์และตัวชี้วัดของโครงการระดับชุมชน
หมายเหตุ***ภาพกิจกรรมการดำเนินงานของสภาผู้นำชุมชนบ้านนาฝาย
(ตัวอย่าง)
บทเรียน การดำเนินงานบ้าน………………………………………………………
โมเดล รพ.สต. พื้นที่ตำบล AAAAAAAA
โดย…………………………………….
ทีมสนับสนุนวิชาการ หน่วยจัดการชุมชนน่าอยู่ภาคเหนือ
- บริบท……………………………………………..
1) การหนุนเสริมของหน่วยจัดการต่อพี่เลี้ยง รพ.สต. ให้มีสมรรถนะในการดำเนินงาน ? ทั้งนี้ จำเป็นต้องหรือมีเงื่อนไขสำคัญ ..หน่วยจัดการภาค(อิสาน) มีคณะทำงานหรือที่เขาเรียก Admin ต้องเป็น coaching ของพี่เลี้ยง รพ.สต. (ช่วยสร้างความเข้าใจ เปลี่ยน mind set การใช้ข้อมูล วิธีการทำงาน ลงพื้นที่ร่วม ทำให้ดู สอนหน้างาน ช่วยวิเคราะห์ช่องว่าง การประชุมบ่อยๆ)
2) การดำเนินงานของกลไกการดำเนินงานพี่เลี้ยง รพ.สต. ในการหนุนเสริมกลไกสภาผู้นำชุมชน ? พื้นที่ รพ.สต.รับผิดชอบทั้งหมด 8 หมู่บ้าน มี จนท.รพ.สต.4 คน เป็นบทบาทพี่เลี้ยงโมเดล รพ.สต.3 คน โดย ผอ. รพ.สต. รับดูแล 5 บ้าน เจ้าหน้าที่ คนที่ 2 ดูแล 2 บ้าน เจ้าหน้าที่ คนที่ 3 ดูแล 1 บ้าน โดย บทบาทหนุนเสริมข้อมูลด้านสุขภาพ ข้อมูลวิชาการ ประสานการทำงานร่วมของแต่ละบ้าน สนับสนุนการแก้ไขปัญหาของแต่ละบ้าน พัฒนาการก่อตัวของสภา
ทั้งนี้ จำเป็นต้องหรือมีเงื่อนไขสำคัญ พี่เลี้ยง รพ.สต.ต้องเป็นคนในพื้นที่ในเขตบริการ มีประสบการณ์ทำงานร่วมกับ สสส. มาก่อน ประมาณ 8 ปี (2557)
3) เงื่อนไขและปัจจัยความสำเร็จและไม่สำเร็จในแต่ละช่วง ของการดำเนินงานชุมชนน่าอยู่โมเดล รพ.สต. ในพื้นที่ตำบล ทั้งนี้ จำเป็นต้องหรือมีเงื่อนไขสำคัญ ..ด้วยกลยุทธ์อย่างไร/ด้วยเงื่อนไข/เทคนิค/ลำดับก่อนหลัง/ช่วงเวลา/ครั้งหรือความถี่ จุดเด่นของการดำเนินงานตามเป้าหมายของพื้นที่ ที่ควรส่งเสริมต่อเนื่อง และประเด็นที่ยังต้องปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้น จะต้องปรับปรุงอย่างไรจึงจะบรรลุเป้าหมายความสำเร็จ ภายใต้การดำเนินงานคามโมเดล รพ.สต.ในพื้นที่ตำบล?
ทั้งนี้ จำเป็นต้องหรือมีเงื่อนไขสำคัญ ..
– ผอ.รพ.สต.ต้องเป็นแกนนำทีมพี่เลี้ยง รพ.สต. และมีการแบ่งพื้นที่รับผิดชอบชัดเจน และร่วมเป็นสภาผู้นำชุมชนมาก่อน
– รพ.สต.มีการใช้ข้อมูลในการวิเคราะห์ปัญหา ยืนยันความถูกต้องตั้งแต่ระดับครัวเรือน นำข้อมูลมาสะท้อนร่วมกัน เช่น การคัดแยกขยะ ผ่านการส่งทางไลน์ว่าเป็นใคร ที่ไหน แยก ไม่แยกขยะไปยังตัวบุคคล
– รพ.สต.มีการเชื่อมประสานงานร่วมกับ อปท. เช่น รถเขียว(ขนขยะ) เป็นผู้ชั่งของตำบลและรอยต่อหมู่บ้านที่ไม่มีเจ้าภาพ รถเขียวเป็นผู้ส่งข้อมูลแก่สภาฯแบบเรลไทม์ พร้อมภาพ
– ผอ.รพ.สต.และหมู่บ้านบางส่วน ต้องมีประสบการณ์ทำงานร่วมกับ สสส.มาก่อน และอยู่เขตบริการของ รพ.สต.
- แลกเปลี่ยนข้อมูลบทเรียนการดำเนินงานที่ได้จากการลงพื้นที่ มาเติมเต็มกับกระบวนการทำงาน และบทเรียนการดำเนินงานภายใต้โมเดล รพ.สต.ผ่านตัวอย่าง รพ.สต.ที่หน่วยจัดการภาคได้จัดทำไว้
1) ข้อเรียนรู้จากการลงพื้นที่ของแต่ละหน่วยจัดการ เพื่อนำไปปรับปรุงการทำงานในพื้นที่ของตนเอง?
1.ด้าน/การก่อตัวได้เรียนรู้ว่า หากจะดำเนินการต่อ ต้องคัดเลือกพี่เลี้ยง รพ.สต.ต้องเป็น ผอ.รพ.สต.และทีมงานทุกคนที่สมัครใจร่วมกัน โดยมี ผอ.รพ.สต.เป็นคนในพื้นที่หรือมีแรงจูงใจร่วม(ค่าตอบแทน) พื้นที่ในเขตบริการต้องมีชุมชนที่เคยมีประสบการณ์โครงการชุมชนน่าอยู่และมีสภาฯที่เข้มแข็ง เป็นตัวอย่างได้. ( เช่น เทพคีรีมี 4 บ้าน จาก 8 บ้าน=ไม่น้อย 50 %) การก่อตัวของสภาผู้นำชุมชนมาจาก อสม.เป็นหลักและ อสม.ไปชักชวนกลุ่มอื่นๆ (ส่วนใหญ่ผู้นำเป็น อสม.ด้วย)
2.ด้าน/การเกิดสมรรถนะพี่เลี้ยงพี่เลี้ยงใหม่ต้องลงไปร่วมเรียนรู้จากการลงมือทำกับทีมงานหรือหัวหน้าพี่เลี้ยง(ผอ.รพ.สต.)
3.ด้าน/การกำหนดบทบาท/ภารกิจพี่เลี้ยงได้เรียนรู้ว่า แบ่งหมู่บ้านในการหนุนเสริมการทำงาน ตามประสบการณ์ของพี่เลี้ยง
4.ด้าน./การสื่อสาร…………………………………………………………………………………………………………………………………..
5.ด้าน./การเรียนรู้ภายในทีม………………………………………………………………………………………………………………………
6.ด้าน/การสร้างการมีส่วนร่วมได้เรียนรู้ว่า พี่เลี้ยงให้โอกาสตัดสินใจแต่หากเชิงวิชาการพี่เลี้ยงให้คำปรึกษา ร่วมให้ข้อมูล คืนข้อมูล //ร่วมแก้ไขสภาด้วยกัน ไม่แบ่งหน้าที่เฉพาะแต่ช่วยกันแก้ปัญหา
7.ด้าน/การกำหนดเป้าหมายร่วม ระหว่างพี่เลี้ยง ที่ร่วมกับ ภาคี ได้เรียนรู้ว่า มีแผนปฏิบัติการ มีกำหนดเป้าหมายร่วมกัน//ออกแบบและวางแผนใช้ข้อมูลร่วมกับสภาในการลงมือปฏิบัติ
8.ด้าน/การวางแผนร่วมกันของพี่เลี้ยงกับสภาผู้นำชุมชน………………………………………………………………………………….
9.ด้าน/การดำเนินการจัดการทรัพยากรร่วมของพี่เลี้ยงกับสภาผู้นำชุมชน……………………………………………………………..
10.ด้าน/การติดตามและประเมินผลร่วมของพี่เลี้ยงกับสภาผู้นำชุมชนได้เรียนรู้ว่า ติดตามร่วมกันโดยใช้ข้อมูลจากสภา อสม.ในแต่ละคุ้ม
11.ด้านสมรรถนะสำคัญและการปรับเปลี่ยนวิธีการดำเนินงานของพี่เลี้ยงได้เรียนรู้ว่า ยึดเป้าร่วมเป็นสิ่งสำคัญ คือสิ่งที่ต้องคนทำร่วมกัน เช่น จัดการขยะเป็นวาระแห่งชาติ เป็นประเด็นที่ชาวบ้านรับรู้
12.ด้านสมรรถนะสำคัญของสภาผู้นำชุมชนได้เรียนรู้ว่า เก็บข้อมูลได้ คืนข้อมูลได้ วางแผนร่วมได้ แบ่งพื้นที่ดูแลชัดเจน บูรณาการกับงานของ รพ.สต.ได้ ผ่านเวทีประชุมสัญจรระดับตำบล
13.ด้านผลลัพธ์การเปลี่ยนแปลงสุขภาวะได้เรียนรู้ว่า กลุ่มเสี่ยงได้รับการคัดกรอง ทำตนเป็นแบบอย่างในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ชักชวนกลุ่มเสี่ยงเข้าร่วมปรับเปลี่ยนพฤติกรรม สร้างความตระหนักว่า ความเสี่ยง NCD ไม่ใช่เรื่องหมอ เป็นเรื่องของสภา