บทเรียนโครงการชุมชนน่าอยู่: Model อปท. บ้านบุญยืน ม.2 จ.พะเยา ปี 2564

การถอดบทเรียนโครงการชุมชนน่าอยู่ 2564 Model อปท.

โครงการชุมชนน่าอยู่บ้านบุญยืน หมู่ 2 ตำบลนาปรัง อำเภอปง จังหวัดพะเยา

โดย เนาวรัตน์ กองตัน

ทีมสนับสนุนวิชาการ หน่วยจัดการชุมชนน่าอยู่ภาคเหนือ

1.บริบทของพื้นที่

บ้านบุญยืนอยู่ตำบลนาปรัง อำเภอปง จังหวัดพะเยา  เดิมขึ้นอยู่กับอำเภอบ้านม่วง  จังหวัดน่านและได้โอนมาขึ้นกับการปกรองของอำเภอปง จังหวัดเชียงราย และในปี พ.ศ. 2520 ได้มาขึ้นกับการปกครองของจังหวัดพะเยา ประกอบด้วยชุมชนในการปกครองคือ บ้านบุญยืน บ้านร่องอ้อย บ้านทุ่ง บ้านดอนเฟือง   รวมเป็นบ้านบุญยืน ซึ่งมีพื้นที่ทั้งหมด 2,700 ไร่  แยกเป็นพื้นที่อยู่อาศัย 60 ไร่  พื้นที่เพาะปลูกและการทำการเกษตร 264 ไร่  ภูมิประเทศทั่วไปเป็นที่ราบเชิงเขาเหมาะสำหรับทำการเกษตร  ประชากรประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลัก  ผลผลิตทางการเกษตรส่วนใหญ่และที่สำคัญได้แก่ ข้าว ข้าวโพด ยาสูบ และพืชผักตามฤดูกาล แหล่งน้ำที่สำคัญ คือ ลำน้ำงิม ลำน้ำควร ลำน้ำยม อ่างเก็บน้ำห้วยแพะและอ่างเก็บน้ำห้วยม้า บ้านบุญยืน มีอาณาเขตติดต่อ ดังนี้

                    ทิศเหนือ                    ติดต่อกับ         บ้านบ่อค้าง บ้านนาปรัง

ทิศใต้                         ติดต่อกับ         บ้านดู่

       ทิศตะวันออก           ติดต่อกับ         บ้านเหล่า แม่น้ำยม

    ทิศตะวันตก              ติดต่อกับ         ทุ่งนา เขตป่าสงวน

ข้อมูลประชากร อาชีพ รายได้ จำนวนประชากร

    • จำนวนครัวเรือน 283  ครัวเรือน

ประชากรรวม  884  คน   เป็นชาย  411  คน  เป็นหญิง  473  คน

    • อาชีพหลัก

ทำนา                       จำนวน    85  ครัวเรือน

ทำไร่                       จำนวน  100  ครัวเรือน

อาชีพค้าขาย           จำนวน    10  ครัวเรือน

    • อาชีพเสริม

อาชีพรับจ้าง                     จำนวน    58  ครัวเรือน

อาชีพรับราชการ              จำนวน    16  ครัวเรือน

อาชีพเสริมสวย                จำนวน      4  ครัวเรือน

อาชีพเลี้ยงสัตว์ ปลูกผัก  จำนวน     10  ครัวเรือน

    • รายได้ภาคการเกษตรเฉลี่ย 30,000 บาท/ครัวเรือน/ปี
    • รายได้นอกภาคเกษตรเฉลี่ย (ตามเกณฑ์ จปฐ. ปี 2562) 30,000 บาท/คน/ปี
    • ครัวเรือนยากจน (รายได้ไม่ถึง 23,000 บาท/คน/ปี) ปี 2562 จำนวน – ครัวเรือน

ข้อมูลสภาพทั่วไปของหมู่บ้าน/ชุมชน

–  พื้นที่อยู่อาศัย 60 ไร่ พื้นที่ทำการเกษตร 185 ไร่ ทำนาปีละ 1 ครั้ง

–  พื้นที่ทำนา 1,200 ไร่

–  พื้นที่ทำไร่ 230 ไร่

–  พื้นที่ทำสวน 30 ไร่

–  พื้นที่การเกษตรในเขตชลประทาน (เขตสูบน้ำด้วยไฟฟ้าคลองชลประทาน) 60 ไร่

–  แหล่งน้ำสาธารณะ 4 แห่ง

–  ประปา 1 แห่ง ผู้ใช้ 64 ครัวเรือน

–  บ่อสาธารณะ 4 แห่ง

–  วัด 1 แห่ง วัดบุญยืน

–  จำนวนผู้ใช้ไฟฟ้า  272  ครัวเรือน  ร้อยละ  100

–  โทรศัพท์มือถือ  64  เครื่อง

–  โทรศัพท์มือถือ  270  เครื่อง

–  หอกระจายข่าว   2   แห่ง

–  ศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้ชุมชน    2    แห่ง    ที่อ่านหนังสือประจำหมู่บ้าน  1  แห่ง

–  ศาลาประชาคม/ 2 แห่ง     อื่นๆ    –

–  จุดตรวจหมู่บ้าน   1  แห่ง

ข้อมูลงานประเพณีและกิจกรรมตามวัฒนธรรมต่าง ๆ  เช่น บุญข้าวใหม่, บุญเดือนสิบ, แข่งเรือ ตักบาตรเทโว , เข้ากรรม , สงกรานต์ , สลากภัทร   เป็นต้น

    • บุญข้าวใหม่ เดือนธันวาคม
    • แข่งเรือ เดือนพฤศจิกายน
    • สงกรานต์ เดือนเมษายน
    • สลากภัทร เดือนพฤศจิกายน
    • ลอยกระทง เดือนพฤศจิกายน
    • แห่เทียนเข้าพรรษา เดือนกรกฎาคม
    • ขึ้นพระธาตุดอยหยวก เดือนเมษายน

สถานที่ท่องเที่ยวหมู่บ้าน/โบราณสถาน/โบราณวัตถุ

    • แหล่งกำเนิดแม่น้ำยม

ด้านศาสนา วัดบ้านบุญยืนเป็นวัดที่มีพระวิหารที่มีความสวยงาม สร้างความเลื่อมใสศรัทธาแก่พุทธศาสนิกชนและบุคคลโดยทั่วไป  หลวงพ่อเจ้าอาวาสก็เป็นผู้ที่มีวัตรปฏิบัติเป็นที่เลื่อมใสศรัทธา มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักของคนทั่วไป

เป้าหมายการพัฒนา (วิสัยทัศน์ , Vision) ของหมู่บ้าน

วิสัยทัศน์ “ชุมชนน่าอยู่ ชุมชนร่วมใจ รายได้พอเพียง รายจ่ายจำเป็น พัฒนาชุมชน แหล่งน้ำพอเพียง  อยู่ดีมีสุข พึ่งตนเองได้”

พันธกิจ

          1) สร้าง ซ่อม บำรุงเส้นทางคมนาคม แหล่งน้ำ

2) ส่งเสริมประกอบอาชีพของประชาชนและการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์

3) ส่งเสริมพัฒนาการศึกษาและการจัดทำแผนแม่บทชุมชน

4) ส่งเสริมการดูแลสวัสดิการสังคมผู้ด้อยโอกาส ผู้พิการ ผู้ติดเชื้อเอดส์

5) จัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

6) ส่งเสริมวัฒนธรรมประเพณี และภูมิปัญญาท้องถิ่น

7) ส่งเสริมให้ประชาชนร่วมคิดร่วมทำและแก้ปัญหาแบบบูรณาการ

ประเด็นยุทธศาสตร์

1) พัฒนาชุมชนให้เป็นชุมชนน่าอยู่  บ้านน่ามอง ปลอดยาเสพติด

2) ปลูกจิตสำนึกให้คนในชุมชนเห็นความสำคัญของตนและคนอื่น

3) สืบสานและอนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณี ต้นกำเนิดแม่น้ำยม

4) ปลูกฝังความรู้สึกและความสำคัญถึงการอยู่ร่วมกันในชุมชนให้เกิดความสามัคคี

5) น้อมนำเศรษฐกิจพอเพียงมาปรับใช้ในชีวิตประจำวัน

2.การเกิดกลไกสภาผู้นำชุมชน

2.1 ทุนเดิมที่มีในชุมชน ทุนศักยภาพของชุมชนที่เป็นจุดแข็ง คือ ศักยภาพความสามารถหรือข้อเด่นของหมู่บ้าน

    1. คนในหมู่บ้านมีความสามัคคี ร่วมแรงร่วมใจในการพัฒนาชุมชน
    2. เป็นหมู่บ้านปลอดถังขยะ ซึ่งเน้นให้ประชาชนในหมู่บ้านมีการคัดแยกขยะตั้งแต่ต้นทางและมีส่วนร่วมในการจัดการขยะในชุมชน
    3. มีกลุ่มแกนนำในการขับเคลื่อนการดำเนินงานต่างๆในหมู่บ้าน
    4. ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและหน่วยงานอื่นๆ
    5. ชุมชนมีแหล่งทรัพยากรธรรมชาติ ได้แก่ อ่างเก็บน้ำห้วยม้า มีขนาดประมาณ 50 ไร่ ซึ่งเป็นแหล่งน้ำเพื่อการเกษตร สถานที่พักผ่อนหย่อนใจ และเป็นแหล่งอาหารทางธรรมชาติแก่ประชาชน ในหมู่บ้าน
    6. หมู่บ้านมีการรวมกลุ่มพร้อมขับเคลื่อนกลุ่ม โดยใช้บุคลากรภายในหมู่บ้านในการขับเคลื่อนโดยมีกลุ่มดังนี้ กลุ่มผู้สูงอายุ กลุ่มอสม. กลุ่มแม่บ้าน กลุ่มตำรวจบ้าน กลุ่มสงเคราะห์ประจำหมู่บ้าน กลุ่มทำนาปรัง โดยกลุ่มดังกล่าวได้มีการส่งเสริม พัฒนา ขับเคลื่อนการดำเนินการตามภารกิจของกลุ่ม ภายใต้ข้อเงื่อนไขของทางราชการและการมีส่วนร่วมของประชาชน
    7. กลุ่มองค์กรหมู่บ้านมีกลุ่มในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม อาทิเช่น กลุ่มกองทุนหมู่บ้าน กลุ่มออมทรัพย์เพื่อการผลิต กลุ่มฌาปนกิจสงเคราะห์ กลุ่มจักสาน กลุ่มดังกล่าวเป็นกลุ่มส่งเสริมพัฒนาอาชีพ สร้างรายได้ เพิ่มสวัสดิการในชุมชน
    8. มีปราชญ์ชุมชนที่มีองค์ความรู้ในด้านภูมิปัญญาท้องถิ่นเรื่อง จักสาน คือ นายแสง คำเรือง และนายถม จันตา

อีกทั้งจากทุนเดิมที่มีอยู่ภายในหมู่บ้านบุญยืนได้นำมาสู่การพัฒนาและการดำเนินกิจกรรมภายในหมู่บ้าน ทั้งในเรื่องของเศรษฐกิจ สังคม ศาสนา ประเพณีและสิ่งแวดล้อม โดยการดำเนินดังกล่าว   ได้รับความร่วมมือจากประชาชนในหมู่บ้าน เทศบาลตำบลปง อำเภอปง และส่วนราชการ โดยมีกิจกรรมที่สำคัญและได้รับยกย่อง อาทิเช่น การดำเนินโครงการถนนหน้าบ้าน น่ามอง พร้อมได้รับรางวัลชนะเลิศ  ในระดับของเทศบาลตำบลปง การเข้าร่วมประกวดขบวนแห่ในวันสงกรานต์หรือวันลอยกระทง โดยได้รับรางวัลชนะเลิศในระดับของเทศบาลตำบลปง การเข้าร่วมโครงการ To Be Number one ระดับอำเภอการเข้าร่วมโครงการและได้รับรางวัลชนะเลิศในโครงการรณรงค์และป้องกันโรคไข้เลือดออกของเทศบาลตำบลปง และโครงการป้องกันโรคหนอนพยาธิ ฯลฯ

2.2 การก่อตัวของสภาผู้นำชุมชน ด้วยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สำนัก 6 โดย นางเนาวรัตน์ กองตัน ทีมสนับสนุนวิชาการชุมชนน่าอยู่ภาคเหนือและพี่เลี้ยงชุมชนน่าอยู่จังหวัดพะเยา ร่วมกับ เทศบาลตำบลปง และ ชุมชนต้นแบบบ้านหนุน หมู่ 6 ตำบลปง อำเภอปง จังหวัดพะเยา ได้ร่วมกันจัดตั้งสภาผู้นำชุมชน ได้เข้าร่วมประชุมชี้แจงเกี่ยวกับการพัฒนาชุมชนโดยกลไกสภาผู้นำชุมชน กับผู้นำชุมชนบ้านบุญยืน  นายทอง กองอิ่น ผู้ใหญ่บ้านบุญยืน จึงได้สภาผู้นำชุมชน จำนวน 25 คน และต่อมาได้แต่งตั้งเพิ่มอีก 4 คน รวมเป็นจำนวน 29 คน ซึ่งมาจากกลุ่มต่างๆในชุมชน ประกอบด้วย ผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน สมาชิกสภาเทศบาล กรรมการหมู่บ้าน ประธานอสม.  ผู้ทรงคุณวุฒิ  ประธานคุ้ม  ประธานแม่บ้าน  รองประธานแม่บ้าน  ประธานผู้สูงอายุ  อสม.  กรรมการผู้สูงอายุ  กรรมการแม่บ้าน  หมอดิน  สาธารณสุข  แม่บ้าน และผู้นำเยาวชน และมีการแบ่งบทบาทหน้าที่ชัดเจน สภาผู้นำชุมชนมีการประชุมเป็นประจำอย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง โดยประชุมทุกครั้งไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 มีการติดตามประเมินผลลัพธ์เพื่อการเรียนรู้และพัฒนาในชุมชน ดำเนินการ 4 เดือนครั้ง จำนวนรวมทั้งสิ้น 3 ครั้ง มีการพัฒนาศักยภาพสภาผู้นำชุมชนที่สอดคล้องกับการวิเคราะห์ช่องว่างที่ต้องพัฒนา จำนวน 3 ครั้ง มีกิจกรรมประชุมสัญจร แลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างชุมชนน่าอยู่เทศบาลปง จังหวัดพะเยา จำนวน 2 ครั้ง สภาผู้นำชุมชนเข้าร่วมกิจกรรมขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาขยะระดับตำบล ร่วมกับเครือข่ายสภาผู้นำชุมชนอื่น และอปท. ไม่น้อยกว่า 3 ครั้งๆ มีแผนงาน/โครงการ ที่จะดำเนินงานในรอบปีต่อไป โดยเชื่อมโยงกับแผน อปท./รพ.สต หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และได้รับการสนับสนุนไม่น้อยกว่า 1 แผนงาน/โครงการ สภาผู้นำชุมชน 29 คน มีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหา และระดมทรัพยากรที่มีอยู่ในชุมชนมาร่วมพัฒนา พร้อมทั้งสามารถเป็นต้นแบบการเสริมสร้างสุขภาพในชุมชน

จากการวิเคราะห์สภาพปัญหาของชุมชนที่ต้องดำเนินการแก้ไข หรือพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามที่กำหนดไว้ในแผนชุมชนพึ่งตนเอง

1) ข้อมูลสถานการณ์ปัญหาที่เลือกดำเนินการ และเหตุผลสำคัญที่ต้องการดำเนินโครงการ        จากฐานข้อมูลของแผนชุมชนบ้านบุญยืนและการสำรวจข้อมูลชุมชนโดยสภาผู้นำชุมชน รวมถึงจากการรวบรวมข้อมูลจากองค์กรในพื้นที่ประกอบด้วยข้อมูล จปฐ./ข้อมูลสถานะสุขภาพ รพ.สต./ ข้อมูลจากท้องถิ่น ข้อมูลการเก็บรวบรวมข้อมูลพื้นฐาน 7 ด้าน ระดับบุคคลและครอบครัว (จากสสส.) และ  การสังเกตสภาพแวดล้อมของชุมชน พบข้อมูลสำคัญและสรุปปัญหา ดังนี้ บ้านบุญยืน มีปริมาณขยะทั้งหมด 10,397 กิโลกรัม และค่าเฉลี่ยปริมาณขยะที่เกิดขึ้น/วัน จำนวน 399.88 กิโลกรัม ปริมาณขยะที่เกิดขึ้นในเขตเทศบาลตำบลปง ประจำปีงบประมาณ 2563 จำนวน 1,426.42 ตัน โดยปริมาณขยะที่เข้าสู่ระบบกำจัดจำนวน 779.72 ตัน และปริมาณขยะที่นำกลับมาใช้ประโยชน์จำนวน 646.7 ตัน การกำจัดขยะทั่วไปของหมู่บ้าน ดำเนินเข้าร่วมโครงการหมู่บ้านปลอดถังขยะของเทศบาลตำบลปง โดยเทศบาลตำบลปงรณรงค์คัดแยกขยะก่อนนำมาทิ้งถังขยะของแต่ละครัวเรือน และจะจำกัดถังขยะ เพื่อลดจำนวนปริมาณขยะ  การจัดการรีไซเคิล โดยหมู่บ้านเข้าร่วมกิจกรรมตลาดนัดขยะรีไซเคิลและกิจกรรมหลังคาสีเขียวเพื่อมูลนิธิเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก ของเทศบาลตำบลปง. การจัดการขยะอันตราย โดยหมู่บ้านได้รับการสนับสนุนตู้คัดแยกขยะอันตรายจากเทศบาลตำบลปง โดยเทศบาลตำบลปงจะจัดเก็บรวบรวมทุกวันที่ 5 ของทุกเดือน เพื่อรวบรวมให้จังหวัดพะเยานำไปกำจัดตามหลักสุขาภิบาลต่อไป

ผลกระทบต่อสุขภาพ คือ ปัญหาขยะทั้งจากครัวเรือนและในชุมชนก่อให้เกิดผลต่อสุขภาพ ทำให้เกิดโรคทางเดินหายใจ ครัวเรือนทั้ง 100 ครัวเรือนได้รับปัญหากลิ่นเหม็นจากการเผาขยะ โดยเมื่อปี2563 จากข้อมูลของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านม่วง พบว่า มีผู้ป่วยที่คาดว่าน่าจะเกิดจากผลกระทบจากขยะ ประกอบด้วย โรคทางเดินหายใจที่ได้รับผลจากการสูดดมควันจากการเผาขยะ เผาเศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร 5 ราย โรคเครียดจากกลิ่นเหม็นจากขยะ 5 ราย และโรคอุจราระร่วง 2 ราย

ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เป็นผลที่เกิดจากขยะที่ถูกทิ้งอย่างไม่ถูกวิธี ส่งผลต่อการปนเปื้อนสู่ธรรมชาติ และขยะถูกทิ้งลงสู่แหล่งน้ำ เป็นแหล่งเพาะพันธุ์พาหะนำโรคและเชื้อโรคต่างๆ จึงทำให้แหล่งน้ำไม่สะอาด สกปรก เน่าเสีย ส่วนในการเผาขยะและเศษวัชพืช ใบไม้ ได้ก่อให้เกิดหมอกควันมาก ส่งผลให้แหล่งน้ำและอากาศมีการปนเปื้อน โดยผลจากผลกระทบจากมลพิษทางอากาศได้ส่งผลให้เกิดการเจ็บป่วยจากการสูดดมควันและอากาศที่ไม่บริสุทธิ์ 5 ราย  ปัญหากลิ่นเหม็นจากขยะมูลฝอย  อยู่ในระดับมาก 20 ครัวเรือน ระดับปานกลาง 65 ครัวเรือน  และระดับมากที่สุด 15 ครัวเรือน  ปัญหาการทิ้งขยะมูลฝอยในที่สาธารณะ/แหล่งน้ำ  อยู่ในระดับมาก 30 ครัวเรือน และจากการสังเกต ส่วนใหญ่บ้านเรือนสกปรกไม่สะอาด ไม่ได้คัดแยกขยะ  ชาวบ้านไม่สนใจ ไม่มีจุดทิ้งขยะ จึงทำให้ทิ้งไม่เป็นที่เป็นทาง   และมาจากคนท้องที่อื่นนำมาทิ้งในพื้นที่หมู่บ้าน

ผลกระทบด้านเศรษฐกิจและสังคม ขยะได้ส่งผลให้เกิดความขัดแย้งภายในชุมชนจากการเผาขยะ การนำขยะทิ้งในแหล่งน้ำ สูญเสียค่าใช้จ่ายในการเจ็บป่วย รักษาพยาบาล ครัวเรือนต้องจ่ายค่าจัดเก็บขยะ และเทศบาลต้องสูญเสียงบประมาณในการกำจัดขยะครัวเรือนละ 30 บาท/เดือน

ดังนั้นผู้ใหญ่บ้าน ผู้เป็นแกนหลักสำคัญในการดำเนินโครงการจึงได้ร่วมคณะทำงานในโครงการ ช่วยกันคิดหาวิธีการที่จะลดปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมในชุมชน (ปัญหาขยะ) พลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส  สร้างแนวร่วมภาคีเครือข่ายที่จะรณรงค์ให้มากขึ้นไม่ว่าจะเป็นส่วนท้องถิ่น นักวิชาการ ผู้ใหญ่บ้าน แกนนำชุมชน เยาวชน ตลอดจนผู้ได้รับผลกระทบ ได้พบปะพูดคุยนำเข้าสู่เวทีประชุมและประชาคม เมื่อวันที่ 15 เดือน มิถุนายน พ.ศ. 2564ปัญหา และดำเนินงานให้สอดคล้องกับเป้าหมาย วัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ ซึ่งจากการวิเคราะห์ปัญหาปัญหาในลำดับที่ 1 ด้านสิ่งแวดล้อมในชุมชน(ปัญหาขยะ) ชุมชนบุญยืน โดย สภาผู้นำชุมชน แกนนำ จึงได้จัดทำโครงการเพื่อให้สอดคล้องกับกิจกรรมและปัญหาของชุมชนอย่างแท้จริง  โดยจะดำเนินการขับเคลื่อนหรือเดินเรื่องของกิจกรรมในการแก้ไขปัญหาหลักๆ คือ ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมของชุมชน การจัดการขยะที่ถูกต้อง ถูกสุขลักษณะ เป็นปัญหาที่ประสบกับทุกครอบครัวในพื้นที่บุญยืน เนื่องจากการขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการจัดการขยะที่ถูกต้อง และจากปัญหาที่เกิดจากขยะ ก็ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของคนในชุมชน เช่น โรคอุจจาระร่วง โรคไข้เลือดออก ซึ่งในการดำเนินการ หากได้มีการสร้างความตระหนักของคนในชุมชน ให้คนในชุมชนมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการจัดการขยะที่ถูกต้อง ส่งเสริมให้สมาชิกในชุมชนลดภาวะโลกร้อน (รณรงค์ใช้ถุงผ้า) ร่วมกันพัฒนาชุมชนให้น่าอยู่ น่ามอง ปลูกผักปลอดสารพิษ ให้ความรู้เรื่องปุ๋ยชีวภาพ จากขยะและเศษอาหาร ส่งเสริมให้สภาผู้นำเข้มแข็ง มีการประชุมทุกเดือน  ก็จะทำให้ลดปัญหาขยะในชุมชนลงได้ นอกจากนี้ชุมชนยังสามารถนำขยะมาเพิ่มมูลค่าโดยการนำขยะรีไซเคิลไปขาย เกิดการรวมกลุ่มของเยาวชน สร้างรายได้ ใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ได้

2) สาเหตุของสภาพปัญหา

          ด้านพฤติกรรม

– ประชาชน 100 หลังคาเรือนขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการลดปริมาณขยะและการจัดการขยะที่ถูกต้อง ทำให้ขยะมีปริมาณมากและการกำจัดขยะที่ไม่ถูกวิธี เช่น การเผาขยะ การฝังขยะ ซึ่งทำให้เกิดปัญหาขยะไม่ย่อยสลาย และมลพิษจากการเผาขยะ และปัญหาจากการกองทับถมของขยะ ทำให้กลายเป็นแหล่งเพาะพันธุ์และเเพร่เชื้อโรคในครัวเรือน

– ประชาชน 100 หลังคาเรือนขาดจิตสำนึกในการจัดการขยะ เช่น การนำขยะไปทิ้งข้างถนน หรือแหล่งที่ว่างที่ไม่มีบ้านเรือน เพราะเข้าใจว่าเป็นการทำลายขยะจากครัวเรือนของตนเอง แต่ไม่ตระหนักว่า เป็นการเพิ่มขยะให้กับชุมชน และเป็นการทำลายทัศนียภาพที่สวยงามของชุมชน

– คนในชุมชนรักความสะดวก ขาดระเบียบวินัยในตนเอง มักง่าย ไม่สนใจผลกระทบที่จะเกิดขึ้น

ด้านสิ่งแวดล้อม

– ประชาชน 100 หลังคาเรือนขาดการอบรมสร้างจิตสำนึกกับคนในชุมชน ในการลดปริมาณขยะและการจัดการขยะในครัวเรือน

– ขาดการประชาสัมพันธ์ สร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการลดปริมาณขยะและการกำจัดขยะในครัวเรือนที่ถูกต้อง

ด้านระบบ

– หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม ไม่ได้ให้บริการความรู้เกี่ยวกับการจัดการขยะที่ถูกวิธี

– ขาดการรวมกลุ่มกันในการกำจัดขยะที่ถูกวิธี

– ขาดการสร้างมาตรการทางสังคมในการกำจัดขยะที่ไม่ถูกต้อง เช่น อาจมีการปรับเงินในครัวเรือนที่เผาขยะ สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนในชุมชน หรือ การทิ้งขยะในสถานที่สาธารณะ

– ขาดการรณรงค์เพื่อลดปริมาณการใช้ขยะ

ทีมสภาผู้นำชุมชนร่วมกับแกนนำชุมชน หัวหน้าคุ้มบ้านมีการวิเคราะห์ 9 มิติ ก่อนการดำเนินงานพบว่ามีระดับความเข้มแข็งของสภาผู้นำชุมชนหรือเป็นคณะทำงาน ดังนี้ มีมิติที่ผ่านเกณฑ์ระดับดีหรือ 4 คะแนนจาก 5 คะแนน คือ การมีส่วนร่วมของชุมชน ส่วนที่ยังขาดหรือมีคะแนน 3 คะแนนจาก 5 คะแนน และที่ยังต้องพัฒนาสภาผู้นำชุมชน รวม 8 มิติ คือ มิติผู้นำ และการระดมทรัพยากร โครงสร้างองค์กร ความสามารถในการประเมินปัญหา การเชื่อมโยงกับผู้อื่น การบริหารจัดการ ความสัมพันธ์กับตัวแทนองค์กรภายนอก ความสามารถในการถามว่า “ทำไม” หรือการประเมินปัญหาและความพร้อม การพัฒนาชุมชน การบริหารจัดการความสัมพันธ์กับตัวแทนองค์กรภายนอก

2.3 องค์ประกอบของสภาผู้นำชุมชน ได้เกิดสภาผู้นำชุมชน จำนวน 25 คน ซึ่งมาจากองค์ประกอบของกรรมการหมู่บ้านเป็นส่วนใหญ่ และมาจากการสรรหาตัวแทนกลุ่มต่างๆและจิตอาสา เข้ามาช่วยงานโดยชุมชนร่วมกันพิจารณาเสนอรายชื่อ เพื่อเป็นกลไกในการขับเคลื่อนการดำเนินงานโครงการ ซึ่งทุกคนมีหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย และบ้านบุญยืน ได้มีพี่เลี้ยง อปท. (เทศบาลตำบลปง) จำนวน 4 คน และ พี่เลี้ยง (SC: Super Coach) จากชุมชนต้นแบบ (บ้านหนุน) มาเป็นภาคีเครือข่ายสนับสนุนหนุนเสริม การดำเนินงานกับสภาผู้นำชุมชน อีกทั้งมีภาคีในพื้นที่อื่นๆ เข้าร่วมได้แก่ กองสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม เทศบาลตำบลปง เกษตรอำเภอปง  มหาวิทยาลัยพะเยา สำนักทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จังหวัดพะเยา ผู้ประกอบการร้านพะเยาวงษ์วานิชย์ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านม่วง เป็นต้น

บทบาทหน้าที่ของสภาผู้นำชุมชน มีการกำหนดโครงสร้างสภาผู้นำชุมชน แบ่งบทบาทหน้าที่ตามความถนัดของแต่ละบุคคล และกำหนดกติกาการทำงาน โดยแบ่งเป็น 2 ส่วนหลัก คือ 1) ฝ่ายบริหารจัดการ 5 คน ประกอบด้วย ประธานสภาผู้นำชุมชน รองประธานสภาผู้นำชุมชน เลขานุการ และเจ้าหน้าที่การเงิน 2) ฝ่ายปฏิบัติการ จำนวน 20 คน ประกอบด้วย ฝ่ายสำรวจข้อมูล/ฝ่ายจัดเก็บข้อมูล/ฝ่ายติดตามและประเมินผล/ฝ่ายกิจกรรม/ฝ่ายสถานที่ อีกทั้งได้คัดเลือกและสรรหาบุคคลเพื่อแต่งตั้งเป็น สภาผู้นําชุมชนเพิ่มเติมอีกจำนวน 4 คนรวมทั้งหมด 29 คน เพื่อช่วยกันขับเคลื่อนการดำเนินกิจกรรม ซึ่งสมาชิกสภาผู้นำชุมชนสามารถดำเนินงานได้ตามบทบาทหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย มีการติดตามประเมินผลการดำเนินงานและคืนข้อมูลให้แก่ชุมชนผ่านการประชุมประจำเดือนของชุมชน เพื่อรับฟังข้อเสนอแนะ และนำมาปรับปรุงการดำเนินงานให้เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนด

สภาผู้นำชุมชนบ้านบุญยืน มีเป้าหมายในการดำเนินงานร่วมกัน คือ สภาผู้นำชุมชนมีความเข้มแข็ง สามารถดำเนินงานตามแผนของชุมชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีโครงสร้างสภาผู้นำชุมชนที่มีองค์ประกอบครบถ้วนได้รับการยอมรับ และมีการแบ่งบทบาทหน้าที่ชัดเจน สภาผู้นำมีการประชุมอย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง สามารถเสนอความคิดเห็นในที่ประชุม มีรายงานการประชุมทุกครั้ง มีการติดตามประเมินผลลัพธ์เพื่อการเรียนรู้และพัฒนา (ARE) ในชุมชน มีการพัฒนาศักยภาพสภาผู้นำชุมชนที่สอดคล้องกับการวิเคราะห์ช่องว่างที่ต้องพัฒนา มีกิจกรรมประชุมสัญจร แลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างชุมชนน่าอยู่เทศบาลปง สภาผู้นำชุมชนเข้าร่วมกิจกรรมขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาขยะระดับตำบล ร่วมกับเครือข่ายสภาผู้นำชุมชนอื่น และอปท. มีแผนงาน/โครงการ ที่จะดำเนินงานในรอบปีต่อไป โดยเชื่อมโยงกับแผน อปท. หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และเป้าหมายให้ครัวเรือน 100 ครัวเรือน มีความรู้ความเข้าใจในการจัดการขยะอย่างถูกวิธี มีการคัดแยกขยะอย่างถูกวิธี มีการปลูกผักปลอดสารพิษ โดยใช้ปุ๋ยหมักชีวภาพและน้ำหมักชีวภาพ สร้างครัวเรือนต้นแบบด้านการจัดการขยะจำนวน 45 ครัวเรือน มีแปลงสาธิตการปลูกผักปลอดสาร 1 แปลง มีการจัดกิจกรรมตลาดนัดขยะรีไซเคิลเดือนละ 1 ครั้ง ปริมาณขยะชุมชนลดลงมากกว่าร้อยละ 5 เมื่อเทียบกับปริมาณขยะที่เกิดขึ้นในปีที่ผ่านมา  ความสุขของคนในชุมชนเพิ่มขึ้นจากเดิมมากกว่า ร้อยละ 50

ซึ่งมีพี่เลี้ยงจากพื้นที่เดิมหรือหมู่บ้านต้นแบบเดิม คือ สภาผู้นำชุมชนบ้านหนุน หมู่ 6 ตำบลปง อำเภอปง จังหวัดพะเยา สามารถแนะแนวทางการดำเนินงานของสภาผู้นำชุมชนบ้านบุญยืน โดยสนับสนุน หนุนเสริม การพัฒนาศักยภาพสภาผู้นำชุมชน เช่น การพัฒนาข้อเสนอโครงการ การจัดทำแผนชุมชนพึ่งตนเอง การเก็บข้อมูล การสำรวจข้อมูล การติดตามประเมินผลเพื่อการเรียนรู้และพัฒนา (ARE) การสรุปและถอดบทเรียน เป็นต้น

 

3.กระบวนการดำเนินงานของสภาผู้นำชุมชนกับสมาชิกในชุมชน และ พี่เลี้ยง

3.1 กระบวนการจัดทำแผน สภาผู้นำชุมชนบ้านบุญยืน ร่วมกับ พี่เลี้ยง อปท.และพี่เลี้ยงชุมชนต้นแบบ ได้นำแผนพัฒนาชุมชนที่มีอยู่เดิม จากการเก็บรวบรวมข้อมูลชุมชน นำมาวิเคราะห์ปรับปรุงให้เป็นแผนชุมชนพึ่งตนเอง (แผนทำเอง/ทำร่วม/ทำขอ)

3.2 กระบวนการคัดเลือกประเด็นมาดำเนินการ สภาผู้นำชุมชนบ้านบุญยืน ผู้บริหารท้องถิ่น สมาชิกสภาเทศบาลตัวแทนครัวเรือน พี่เลี้ยง อปท. พี่เลี้ยงชุมชนต้นแบบ ร่วมกันจัดประชาคมหมู่บ้าน เพื่อรับข้อเสนอโครงการและจัดเรียงลำดับความสำคัญของปัญหา วัตถุประสงค์ แผนทำเอง ทำร่วม ทำขอ ส่งให้อำเภอและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อขอสนับสนุนงบประมาณในการพัฒนาหมู่บ้าน โดยมีสภาผู้นำชุมชน ผู้บริหารท้องถิ่น สมาชิกสภาเทศบาลตัวแทนครัวเรือน พี่เลี้ยง อปท. และพี่เลี้ยงชุมชนต้นแบบ ร่วมดำเนินการ

3.3 กระบวนการพัฒนาข้อเสนอโครงการ สภาผู้นำชุมชนบ้านบุญยืน ร่วมกับ พี่เลี้ยงหน่วยจัดการ และ พี่เลี้ยงอปท./พี่เลี้ยงชุมชนต้นแบบ ร่วมกันจัดเวทีชี้แจงวัตถุประสงค์ / คืนข้อมูลสถานการณ์ปัญหา เวทีประชาคมหมู่บ้านเพื่อคัดเลือกประเด็นปัญหา จากการวิเคราะห์ต้นไม้ปัญหา สาเหตุปัจจัยด้านพฤติกรรม ด้านกายภาพและสังคมระบบที่เกี่ยวข้อง และผลกระทบปัจจัยด้านสังคม ด้านสุขภาพ ด้านเศรษฐกิจ ด้านสิ่งแวดล้อม

3.4 กระบวนการบริหารจัดการโครงการ สภาผู้นำชุมชนบ้านบุญยืน ร่วมกับ พี่เลี้ยงหน่วยจัดการ และ พี่เลี้ยงอปท./พี่เลี้ยงชุมชนต้นแบบ ร่วมกันออกแบบกิจกรรมโดยใช้ปฏิทินกิจกรรมโครงการเป็นตัวกำหนด โดยมีแนวทางดังนี้

    1. จัดอบรมพัฒนาศักยภาพสภาผู้นำชุมชน โดย

1.1 สภาผู้นำชุมชนฝ่ายบริหารโครงการเข้ารับการเรียนรู้ การบริหารโครงการ การทำแผนหรือปฏิทินโครงการ การบริหารจัดการเงิน การประเมินผลลัพธ์ การทำเอกสารรายงาน ผ่านการปฐมนิเทศโครงการกับ สสส.กำหนด จำนวน 3 ท่าน

1.2 การพัฒนาศักยภาพและเสริมพลังหรือ ARE   ประเมินผลทุก 4 เดือน ด้วยการทบทวน นำปัญหามาปรับปรุงหรือ Plan-Do –Check-Act จำนวน 20 คน ต่อครั้ง 3 ครั้ง

           – ครั้งที่ 1 จัดอบรมการเสริมศักยภาพ การสร้างทีมสภาผู้นำชุมชนส่วนที่ขาดคือมิติผู้นำ และการระดมทรัพยากร โครงสร้างองค์กร ความสามารถในการประเมินปัญหา การเชื่อมโยงกับผู้อื่น การบริหารจัดการ ความสัมพันธ์กับตัวแทนองค์กรภายนอก ความสามารถในการถามว่า “ทำไม” หรือการประเมินปัญหาและความพร้อมการพัฒนาชุมชน การบริหารจัดการความสัมพันธ์กับตัวแทนองค์กรภายนอกเพื่อให้เป็นสภาผู้นำชุมชนที่เข้มแข็ง ระยะเวลา 1 วัน

– ครั้งที่ 2-3 อบรมติดตามและประเมินผลการดำเนินงาน การมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหา และระดมทรัพยากรที่มีอยู่ในชุมชนมาร่วมพัฒนา พร้อมทั้งสามารถเป็นต้นแบบการสร้างเสริมสุขภาพในชุมชน

1.3.การพัฒนาศักยภาพและเสริมพลัง 9 มิติ

           – เป็นการพัฒนาศักยภาพผู้นำชุมชน เพื่อเป็นกลไกสร้างการมีส่วนร่วมของผู้นำภายในชุมชน และส่งเสริมการเสริมพลังในเรื่อง โครงสร้างองค์กร การบริหารจัดการโครงการ   การระดมทรัพยากร การเชื่อมโยงกับผู้อื่น การตั้งคำถามเพื่อการเรียนรู้ จำนวน 4 คน โดยมาจากสภาผู้นำที่มีโอกาสการพัฒนาด้านการาคิดวิเคราะห์ การทำแผนงานระยะปีที่ 2 โดย สสส.ส่วนกลางเป็นสื่อกลางดำเนินงาน

    1. จัดประชุมสภาผู้นำชุมชนประจำเดือน 12 ครั้งเพื่อติดตามผลการดำเนินงาน ประกอบด้วย

    – การวางแผนการทำงานในเดือนต่อไป

    – การระดมทรัพยากรและแนวร่วมหาแนวทางการแก้ไขปัญหา

    – ประเมินผลการทำงานเป็นระยะๆ

    – มีการบันทึกรายงานผลการประชุมอย่างสม่ำเสมอและมีการมอบหมายหน้าที่ตามบทบาทของแต่ละบุคคล

    1. ติดตามผลการดำเนินงานอย่างมีส่วนร่วมของสภาผู้นำชุมชนชุมชน จำนวน 3 ครั้ง
    2. สภาผู้นำชุมชนสร้างความรู้ความเข้าใจและส่งเสริมการมีส่วนร่วมของครัวเรือนในชุมชนในการจัดการขยะและจัดทำมาตรการลดขยะ ดังนี้

    4.1 ครัวเรือน 100 ครัวเรือน เข้ารับการอบรมและดำเนินการคัดแยกขยะ โดยนำมูลสัตว์และวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร ขยะอินทรีย์ประเภทเศษผักและผลไม้ ฯลฯ มาจัดทำปุ๋ยหมักชีวภาพและน้ำหมักชีวภาพ

    4.2 ครัวเรือน 100 ครัวเรือน เข้ารับการอบรม เรื่อง การคัดแยกขยะ และร่วมกันจัดทำกิจกรรมตลาดนัดขยะรีไซเคิลเป็นประจำทุกเดือน

    1. สภาผู้นำชุมชนส่งเสริมให้ครัวเรือนมีการปลูกผักปลอดสารพิษ โดยรับสมัครครัวเรือนที่สนใจเข้าร่วมกิจกรรมอบรม รณรงค์/ประชาสัมพันธ์ประชาชนให้มีการปลูกผักปลอดสารพิษและรณรงค์การใช้น้ำหมักชีวภาพ/ปุ๋ยหมักชีวภาพ
    2. รณรงค์ ประชาสัมพันธ์ หมู่บ้านปลอดขยะ
    3. สภาผู้นำชุมชนสร้างครัวเรือนต้นแบบด้านการจัดการขยะ และประกวดครัวเรือนต้นแบบ ด้านการจัดการขยะ โดยให้ชาวบ้านร่วมลงคะแนนคัดเลือกโดยมีหลักเกณฑ์เพื่อให้ครัวเรือนเป็นระเบียบ ไร้ขยะ เพื่อสร้างแรงจูงใจในการจัดการขยะของครัวเรือน
    4. สภาผู้นำชุมชนจัดเวทีขยายผลแลกเปลี่ยนครัวเรือนตัวอย่าง.
    5. สภาผู้นำชุมชนจัดเวทีสรุปทบทวนแลกเปลี่ยนและสร้างความเข้าใจระดับชุมชนเพื่อจัดการขยะ

อีกทั้งในการเก็บรวบรวมข้อมูลก่อน-หลังทุกครั้งมีการนำเสนอในที่ประชุมประจำเดือนเพื่อรายงานความก้าวหน้า และจัดประชุมประชาคมคืนข้อมูลก่อนและหลังดำเนินโครงการให้ประชาชนทราบใช้หลักการติดตามและประเมินผลเพื่อการเรียนรู้และพัฒนา ARE 3 ครั้ง/ปี การประเมินความเข้มแข็งชุมชน 9 มิติ การประเมินสภาผู้นำชุมชนเข้มแข็ง สำหรับการขับเคลื่อนกลไกสภาผู้นำชุมชน

3.5 กระบวนการสร้างการมีส่วนร่วม การเสริมพลัง การประสานทรัพยากรร่วม

ชุมชนบ้านบุญยืน มีเป้าหมายการทำงานร่วมกับพี่เลี้ยงหน่วยจัดการ/พี่เลี้ยง อปท.และพี่เลี้ยงชุมชนต้นแบบ เพื่อลดปริมาณขยะในครัวเรือนและชุมชน โดยใช้กลไกสภาผู้นำชุมชนแบบมีส่วนร่วมการขับเคลื่อนการดำเนินงานโครงการ ร่วมคิด ร่วมตัดสินแก้ไขปัญหาของหมู่บ้าน ร่วมใช้ความคิดสร้างสรรค์ ความรู้และความชำนาญ สนับสนุนติดตามผลการปฏิบัติงานของหมู่บ้านและสภาผู้นำชุมชน ผ่านเวทีประชาคมหมู่บ้าน จากแนวคิดของระบบประชาธิปไตย เป็นกระแสของความคิดที่ทำให้ประชาชนในหมู่บ้านตระหนักดีว่าการดำเนินงานกิจกรรมใดๆก็ตาม ผู้ที่ได้รับผลกระทบและส่วนได้ส่วนเสียควรเป็นผู้มีโอกาสได้แสดงความคิดเห็นและเสนอแนะความคิด โดยสร้างกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนอันเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิบัติงานและเป็นส่วนสำคัญของแนวคิดการมีส่วนร่วมของประชาชน ดังนั้น การพัฒนาหมู่บ้านจึงเริ่มจากความต้องการของชุมชนแทนความต้องการของหน่วยงานของรัฐ /พี่เลี้ยงหน่วยจัดการ /พี่เลี้ยง อปท./พี่เลี้ยงชุมชนต้นแบบ มีความรู้ความเข้าใจหลักการพัฒนาชุมชนน่าอยู่ สามารถสนับสนุน หนุนเสริมองค์ความรู้/ทักษะ การใช้เครื่องมือของ สสส. เช่น การติดตามประเมินผลเพื่อการเรียนรู้และพัฒนา ARE การประเมินความเข้มแข็งของชุมชน 9 มิติ การประเมินสมรรถนะสภาผู้นำชุมชนเข้มแข็ง บันไดผลลัพธ์เชิงประเด็น บันไดผลลัพธ์ โมเดล อปท. และการประเมินความสุขของประชาชน เป็นต้น

– เกิดภาคีเครือข่ายในพื้นที่มากกว่า 1 กลุ่ม ได้แก่ เทศบาลตำบลปง ผู้ประกอบการร้านพะเยาวงษ์วานิชย์ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านม่วง เป็นต้น และ ภาคีเครือข่ายภายนอกพื้นที่ 5 กลุ่ม ได้แก่ เกษตรอำเภอปง พัฒนาชุมชนอำเภอปงท้องถิ่นอำเภอปง กศน.อำเภอปง และมหาวิทยาลัยพะเยา สำนักทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จังหวัดพะเยา เพื่อเรียนรู้กระบวนการขับเคลื่อนกลไกสภาผู้นำชุมชน เป็นสภาผู้นำชุมชนต้นแบบให้ชุมชนใกล้เคียงได้

– เกิดการสื่อสารและประชาสัมพันธ์ ระหว่าง สภาผู้นำชุมชน พี่เลี้ยงหน่วยจัดการ พี่เลี้ยงอปท. พี่เลี้ยงชุมชนต้นแบบ โดยใช้วิธีการจัดประชุมประจำเดือนของหมู่บ้าน /การประชุมสภาผู้นำชุมชนอย่างน้อยเดือนละครั้ง และมีเรื่องเร่งด่วนจะแจ้งทางโทรศัพท์ การสื่อสารทางสื่อโซเซียล Line เพจ Facebook และเสียงตามสาย

 

4.ความสำเร็จและผลลัพธ์การเปลี่ยนแปลงของชุมชน

4.1 ผลลัพธ์ความสำเร็จเชิงประเด็นที่กลไกสภาผู้นำชุมชน อยู่ในบันไดขั้นที่ 3 – 4 เกิดสภาผู้นำชุมชนเข้มแข็ง สามารถทำงานตามแผนชุมชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีข้อมูลพฤติกรรมและปริมาณการทิ้งขยะของชุมชนที่เป็นปัจจุบัน มีโครงสร้างสภาผู้นำชุมชน ที่มีองค์ประกอบครบถ้วนที่ได้รับการยอมรับ ประกอบด้วย กรรมการหมู่บ้าน ผู้ใหญ่บ้าน สมาชิกสภา ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ประธานอสม. ผู้ทรงคุณวุฒิประธานคุ้ม ประธานแม่บ้าน รองประธานแม่บ้าน ประธานผู้สูงอายุอสม.กรรมการผู้สูงอายุ กรรมการแม่บ้าน หมอดิน สาธารณสุข แม่บ้าน และมีการแบ่งบทบาทหน้าที่ชัดเจน มีการประชุมอย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง ทุกคนสามารถเสนอความคิดเห็นในที่ประชุม และมีรายงานการประชุมทุกครั้ง สามารถร่วมตัดสินใจและดำเนินงานต่างๆในชุมชนได้เองโดยไม่ต้องพึ่งพาพี่เลี้ยง สามารถดำเนินงานได้ตามบทบาทหน้าที่ ที่ได้รับมอบหมายและมีการติดตามประเมินผลการดำเนินงาน และคืนข้อมูลให้แก่ชุมชน และมีการปรับปรุงการดำเนินงานให้เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดมีกิจกรรมประชุมสัญจร แลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างชุมชนน่าอยู่เทศบาลปง จังหวัดพะเยา จํานวน 2 ครั้ง สภาผู้นําชุมชนเข้าร่วมกิจกรรมขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาขยะระดับตําบล ร่วมกับเครือข่ายสภาผู้นําชุมชนอื่น และอปท. มีแผนงาน/โครงการ ที่จะดําเนินงานในรอบปีต่อไป โดยเชื่อมโยงกับแผน อปท./ หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มีการวิเคราะห์และระดมทรัพยากรทั้งภายในและนอกชุมชนมาดำเนินงานตามแผนชุมชนเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมสุขภาพของสมาชิกชุมชน มีการบริหารจัดการงบประมาณด้วยความโปร่งใส จัดทำบัญชีรับ จ่าย คืนข้อมูลสมาชิกทุกเดือนและสามารถสื่อสารข้อมูลข่าวสารความก้าวหน้าในการทำงานทุกงานที่ชุมชนดำเนินการให้สมาชิกชุมชนรับทราบอย่างน้อยเดือนละหนึ่งครั้ง

 

4.2 ผลลัพธ์ความสำเร็จเชิงประเด็น “การบริหารจัดการขยะระดับครัวเรือน ระดับชุมชนและระดับตำบล อย่างมีส่วนร่วม ลดปริมาณขยะเหลือทิ้ง” ได้บรรลุผลลัพธ์บันไดขั้นที่ 4 เป้าหมายในการลดปริมาณขยะในชุมชน จากผลการดำเนินงานเชิงประเด็นด้านการจัดการขยะของชุมชนบ้านบุญยืน พบว่า ตัวแทนครัวเรือน 100 ครัวเรือน เข้ารับการอบรมให้ความรู้ความเข้าใจในการจัดการขยะอย่างถูกวิธี มีการคัดแยกขยะอย่างถูกวิธี  ครัวเรือน 50 ครัวเรือนมีการปลูกผักปลอดสารพิษ โดยใช้ปุ๋ยหมักชีวภาพและน้ำหมักชีวภาพ สร้างครัวเรือนต้นแบบด้านการจัดการขยะจำนวน 45 ครัวเรือน มีแปลงสาธิตการปลูกผักปลอดสาร 1 แปลง มีการจัดกิจกรรมตลาดนัดขยะรีไซเคิลเดือนละ 1 ครั้ง ปริมาณขยะชุมชนลดลงมากกว่าร้อยละ 50 เมื่อเทียบกับปริมาณขยะที่เกิดขึ้นในปีที่ผ่านมา ความสุขของคนในชุมชนเพิ่มขึ้นจากเดิมมากกว่า ร้อยละ 80 มีเทศบาลตำบลปง เข้ามาสนับสนุนต่อจากงบ สสส. กิจกรรมการลดปริมาณขยะในชุมชน ยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะได้มีการติดตาม ประเมินผลจากสภาผู้นำชุมชนอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ของสภาผู้นำชุมชน รวมถึงให้ประชาชนได้ลดปริมาณขยะอย่างต่อเนื่อง

 

4.3 หลักฐาน/ข้อมูลสำคัญที่บ่งบอกว่าดำเนินการได้สำเร็จ จากการดำเนินงานชุมชนน่าอยู่ประเด็น “การบริหารจัดการขยะระดับครัวเรือน ระดับชุมชนและระดับตำบล อย่างมีส่วนร่วม ลดปริมาณขยะเหลือทิ้ง”จากการดำเนินงานจัดกิจกรรมโครงการชุมชนน่าอยู่บ้านบุญยืน โดยสภาผู้นำชุมชนได้ร่วมมือกันดำเนินงานอย่างจริงจังและเข้มแข็ง เป็นต้นแบบและตัวอย่างของการทำงานในระดับหมู่บ้าน ตำบล อำเภอและจังหวัด

4.4 ปัจจัยที่มีผลต่อความสำเร็จ ครัวเรือน 100 ครัวเรือน เกิดการมีส่วนร่วมในการลด คัดแยกและใช้ประโยชน์จากขยะ มีปริมาณขยะครัวเรือนโดยเฉลี่ย 7 กิโลกรัม/ครัวเรือน/วัน เหลือ 3 กิโลกรัม/ครัวเรือน/วัน

4.5 ปัจจัยที่มีผลต่อความไม่สำเร็จ (ปัญหาและอุปสรรค) การรวมตัวกันเพื่อปฏิบัติหน้าที่ของสภาผู้นำชุมชนมีจำกัดเนื่องจากภาระหน้าที่ส่วนตัวของสภาผู้นำชุมชน เช่น บางคนไม่อยู่ในพื้นที่ และทำงานต่างพื้นที่ไม่สามารถเข้าร่วมกิจกรรมได้ หรือบางคนหาเช้ากินค่ำ ทำให้ไม่มีเวลาเข้าร่วมกิจกรรมอย่างเต็มที่ แนวทางการแก้ไขของผู้รับผิดชอบโครงการ โดยนัดประชุมหรือจัดกิจกรรม ในวันหยุด เสาร์หรืออาทิตย์ ที่สภาผู้นำชุมชนสามารถร่วมตัวการจัดกิจกรรมได้

4.6 สมรรถนะสภาผู้นำชุมชน และความเข้มแข็งของชุมชนสมรรถนะสภาผู้นำชุมชน อยู่บันไดผลลัพธ์ขั้นที่ 4 เกิดโครงสร้างสภาผู้นำชุมชน จำนวน 29 คน ที่ได้รับการยอมรับและมีองค์ประกอบครบถ้วน 3 องค์ประกอบ ได้แก่ 1) คณะกรรมการหมู่บ้าน 2) ผู้นำทางศาสนา 3) ตัวแทนของกลุ่มต่างๆในชุมชน สภาผู้นำชุมชนมีการประชุมอย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง มีการหารือโครงการ สสส. และประเด็นอื่นๆ ในชุมชน ไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 สามารถเสนอความคิดเห็นในที่ประชุม สภาผู้นำชุมชนเป็นผู้ตัดสินใจ และดำเนินงานต่างๆในชุมชนได้เองทั้งหมด โดยไม่ต้องพึ่งพาพี่เลี้ยง สภาผู้นำชุมชนสามารถดำเนินงานได้ตามบทบาทหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย มีการติดตามประเมินผลการดำเนินงานและคืนข้อมูลให้แก่ชุมชน และมีการปรับปรุงการดำเนินงานให้เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนด มีแผนชุมชนพึ่งตนเองจากข้อมูลที่สภาผู้นำชุมชน ร่วมกันวิเคราะห์ และดำเนินการตามประเด็นที่เลือกจากแผนชุมชน อย่างน้อย 4 ประเด็น และมีการปรับปรุงแผนชุมชนพึ่งตนเองจากข้อมูลที่สภาผู้นำชุมชนร่วมกันวิเคราะห์ อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง มีการวิเคราะห์และระดมทรัพยากรทั้งภายในและภายนอกชุมชนมาดำเนินงานตามแผนชุมชน เกิดผลสำเร็จเชิงประเด็นภายใต้แผนชุมชนไม่น้อยกว่า 3 ประเด็น โดยมีอย่างน้อย 1 ประเด็นที่สอดคล้องตามเป้าหมาย 10 ปี ของ สสส. ภายใต้การผลักดันของสภาผู้นำชุมชนของสภาผู้นำชุมชน และเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมสุขภาพของกลุ่มเป้าหมายไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของเป้าหมายของโครงการ มีการบริหารจัดการงบประมาณโครงการ สสส. และโครงการอื่นของชุมชน ด้วยความโปร่งใส จัดทำบัญชีรับจ่ายและแจ้งข้อมูลให้สมาชิกในชุมชนทราบทุกเดือน มีการสื่อสารข้อมูลข่าวสารความก้าวหน้าในการทำงานทุกงานที่ชุมชนดำเนินการให้สมาชิกชุมชนรับทราบอย่างน้อยเดือนละครั้ง

สมรรถนะการประเมินความเข้มแข็งของชุมชน 9 มิติ

สมรรถนะการประเมินความเข้มแข็ง

ระดับ

ผลลัพธ์

1.ด้านโครงสร้างองค์กร ระดับ 5 มีโครงสร้างสภาผู้นำชุมชน ที่สามารถบริหารจัดการชุมชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2.ด้านผู้นำ ระดับ 5 ผู้นำทุกกลุ่มองค์กรมีความรู้ สมรรถนะในการขับเคลื่อนงานในกลุ่มของตนเองและทำงานร่วมกับกลุ่มอื่นๆในสภาผู้นำ และกลุ่มอื่นนอกชุมชนได้
3.ด้านการมีส่วนร่วมของชุมชน ระดับ 5 สมาชิกชุมชนเข้าร่วมประชุม และร่วมกิจกรรมไม่น้อยกว่าร้อยละ 65 มีผู้แสดง ความคิดเห็น ร่วมตัดสินใจเรื่องการดำเนินงานและมีการเสนอแนะพิจารณาปัญหาใหม่รวมทั้งมีการร่วมติดตามและประเมินผล
4.ด้านความสามารถในการประเมินปัญหา ระดับ 4 สภาผู้นำชุมชนมีการแบ่งบทบาทหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องในการเก็บและดูแลข้อมูลอย่างชัดเจน  มีการออกแบบวิธีเก็บและวิเคราะห์ ข้อมูล  มีฐานข้อมูลชุมชนที่ครอบคลุมทุกมิติ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และสุขภาพ  มีการวิเคราะห์และประเมินปัญหา และมีการจัดทำแผนชุมชนพึ่งตนเองที่ได้รับการยอมรับจากคนในชุมชน
5. ด้านการระดมทรัพยากร ระดับ 4 มีแผนชุมชนพึ่งตนเองที่กำหนด การใช้ทรัพยากรทั้งภายในและภายนอก มีการระดมทรัพยากรจากภายในชุมชนได้ตามแผนชุมชน และมีการระดมทรัพยากรจากภายนอก ภายในได้ไม่น้อยกว่า ร้อยละ 20 ของ จำนวนโครงการตามแผนชุมชน
6. ด้านการเชื่อมโยงกับผู้อื่น ระดับ 4 มีแผนชุมชนพึ่งตนเองที่กำหนดบุคคลหรือองค์กรภายนอกที่ต้องขอความร่วมมือไว้แล้ว สามารถจัดลำดับความต้องการช่วยเหลือจากบุคคลหรือหน่วยงานภายนอกได้ และมีการแบ่งหน้าที่กันในการติดต่อประสานงานกับบุคคลหรือหน่วยงานภายนอก
7. ด้านการตั้งคำถามว่า “ทำไม” ระดับ 4 มีการ “ถามว่าทำไม” ในการประชุมสภาผู้นำชุมชนเกือบทุกครั้งโดยไม่เกิด ความขัดแย้ง และมีหลายตัวอย่างของ การ”ถามว่าทำไม” ในกลุ่มต่างๆในชุมชน
8. ด้านการบริหารจัดการ ระดับ 5 ชุมชนสามารถเชื่อมโยงการทำงานภายในชุมชนได้ พี่เลี้ยงยังต้องร่วมกับชุมชนกำหนดเรื่องและประเด็นสื่อสารกับภาคีภายนอก,สามารถปรับแผนการทำงานให้บรรลุผลลัพธ์ที่กำหนดไว้ พี่เลี้ยงให้คำปรึกษาปรับแผนกิจกรรม เมื่อเห็นว่าไม่ได้ผลลัพธ์ และจัดเวทีเรียนรู้ในชุมชนได้เอง พี่เลี้ยงทำหน้าที่ให้คำแนะนำในเวทีเท่านั้น
9. ด้านความสัมพันธ์กับตัวแทนองค์กรภายนอก ระดับ 4 สภาผู้นำชุมชนบริหารจัดการกิจกรรมได้ด้วยตนเอง 80%,สามารถเก็บ /วิเคราะห์ ได้ แต่ยังต้องการคำแนะนำ/ตรวจทานจากพี่เลี้ยง,สามารถวิเคราะห์ช่องว่างได้ แต่ยังต้องให้พี่เลี้ยงช่วยในการแนะนำปรับแผนการทำงานเป็นส่วนใหญ่ และสามารถเป็นต้นแบบ และถ่ายทอดให้คนอื่นๆได้

4.7 ผลลัพธ์สมรรถนะสำคัญของพี่เลี้ยงหน่วยงาน ผลลัพธ์ด้านการปรับวิธีทำงานของหน่วยงานพี่เลี้ยงและภาคี ผลลัพธ์สมรรถนะของสภาผู้นำและความเข้มแข็งชุมชน และผลลัพธ์ต่อประเด็นสุขภาพที่จัดบริการร่วม 4.7.1 สมรรถนะที่สำคัญของพี่เลี้ยง อปท.

สมรรถนะที่สำคัญของพี่เลี้ยง อปท.
ก่อน หลัง
1. พี่เลี้ยงไม่รู้บทบาทหน้าที่ความรับผิดชอบของตนเอง 1. ได้รับการพัฒนาศักยภาพพี่เลี้ยง อปท. เรื่อง บทบาทหน้าที่ความรับผิดชอบ การหนุนเสริม สนับสนุนสภาผู้นำชุมชน เรื่อง การติดตามประเมินผลเพื่อการเรียนรู้และพัฒนา ARE,การประเมินความเข้มแข็งของสภาผู้นำชุมชน การประเมินความเข้มแข็งของชุมชน 9 มิติ
2. พี่เลี้ยงไม่รู้จักบริบทพื้นที่ของชุมชน 2. รู้จักบริบทพื้นที่ชุมชน
3. ไม่มีความสัมพันธ์ระหว่างผู้นำท้องที่,คณะกรรมการหมู่บ้าน 3. มีความสัมพันธ์เป็นที่ไว้วางใจกับ ผู้นำท้องที่และสภาผู้นำชุมชน

5.การสร้างความยั่งยืนในการดำเนินงานในชุมชน
5.1 วิเคราะห์ความเข้มแข็งการประเมินความเข้มแข็งของชุมชน 9 มิติ
5.1.1 จุดอ่อนที่ชุมชนต้องพัฒนาต่อเนื่อง เพื่อสร้างความเข้มแข็ง (วิเคราะห์ ก่อน-หลัง)

เกณฑ์ประเมิน ระดับคะแนน แนวทางการพัฒนา
(ก่อน) (หลัง)
ด้านความสามารถในการประเมินปัญหา 2 4 – การพัฒนาศักยภาพ หัวข้อ “การออกแบบวิธีเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลการวิเคราะห์และประเมินปัญหา และการจัดทำแผนชุมชนพึ่งตนเอง”
ด้านการตั้งคำถามว่า “ทำไม” 3 4 – การประชุมประจำเดือน ประธานกระตุ้นเพื่อให้สภาผู้นำชุมชนตั้งคำถามประเด็นที่สภาผู้นำชุมชนสนใจ
ด้านการบริหารจัดการ 3 5 – การพัฒนาศักยภาพ หัวข้อ การจัดทำรายงานความก้าวหน้าระบบออนไลน์ การบันทึกบัญชีรับ-จ่าย  การเก็บเอกสาร
ด้านความสัมพันธ์กับตัวแทนองค์กรภายนอก 3 4 – ฝึกการสร้างความสัมพันธ์กับตัวแทนองค์กรภายนอก

5.1.2 จุดแข็งในการยกระดับเป็นพื้นที่เรียนรู้

เกณฑ์ประเมิน

แนวทางที่ทำให้เกิดความยั่งยืนต่อเนื่องและขยายผล

1.ด้านโครงสร้างองค์กร มีโครงสร้างสภาผู้นำชุมชน ที่สามารถบริหารจัดการชุมชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2.ด้านผู้นำ ผู้นำทุกกลุ่มองค์กรมีความรู้ สมรรถนะในการขับเคลื่อนงานในกลุ่มของตนเอง และทำงานร่วมกับกลุ่มอื่นๆในสภาผู้นำ และกลุ่มอื่นนอกชุมชนได้
3.ด้านการมีส่วนร่วมของชุมชน สมาชิกชุมชนเข้าร่วมประชุม และร่วมกิจกรรมไม่น้อยกว่าร้อยละ 65 มีผู้แสดง ความคิดเห็น ร่วมตัดสินใจเรื่องการดำเนินงานและมีการเสนอแนะพิจารณาปัญหาใหม่รวมทั้งมีการร่วมติดตามและประเมินผล
5.ด้านการระดมทรัพยากร มีแผนชุมชนพึ่งตนเองที่กำหนด การใช้ทรัพยากรทั้งภายในและภายนอก มีการระดมทรัพยากรจากภายในชุมชนได้ตามแผนชุมชน และมีการระดมทรัพยากรจากภายนอกภายในได้ไม่น้อยกว่า ร้อยละ 20 ของ จำนวนโครงการตามแผนชุมชน
6.ด้านการเชื่อมโยงกับผู้อื่น มีแผนชุมชนพึ่งตนเองที่กำหนดบุคคลหรือองค์กรภายนอกที่ต้องขอความร่วมมือไว้แล้วสามารถจัดลำดับความต้องการช่วยเหลือจากบุคคลหรือหน่วยงานภายนอกได้ และมีการแบ่งหน้าที่กันในการติดต่อประสานงานกับบุคคลหรือหน่วยงานภายนอก

5.2 ข้อค้นพบจากการดำเนินงานที่สำคัญ สามารถนำไปขยายผลได้
– กลไกสภาผู้นำชุมชน(เกิดภาวะผู้นำ) /กลไกพี่เลี้ยง

วิเคราะห์จุดอ่อน พี่เลี้ยง อปท.

แนวทางการแก้ไข

1. องค์ความรู้ด้านวิชาการ ของพี่เลี้ยง อปท. เช่น เรื่องการพัฒนาข้อเสนอโครงการ การจัดทำแผนชุมชนพึ่งตนเอง การประสาน ความสัมพันธ์กับผู้นำท้องที่ การติดตามประเมินผลเพื่อการเรียนรู้และพัฒนา ARE เป็นต้น มีระดับความรู้ความเข้าใจและประสบการณ์ที่ไม่เท่ากัน 1. ประสานหน่วยงานในพื้นที่ หรือ หน่วยจัดการชุมชนน่าอยู่ภาคเหนือ จัดอบรมพัฒนาศักยภาพองค์ความรู้พี่เลี้ยงอปท. เพื่อให้สามารถหนุนเสริมชุมชนได้2. พี่เลี้ยง อปท. ต้องลงปฏิบัติพื้นที่หมู่บ้านอย่างต่อเนื่องอย่างสม่ำเสมอ
2. ระยะเวลาการปฏิบัติงาน เนื่องจากพี่เลี้ยง อปท.ที่ได้รับมอบหมาย หรือ จิตอาสา มีภาระหน้าที่รับผิดชอบงานประจำค่อนข้างมาก 2. พี่เลี้ยง อปท. ต้องมีการวางแผนระยะเวลาการปฏิบัติงาน โดยให้มีปฏิทินของสภาผู้นำชุมชน เพื่อให้เป็นตัวกำหนดระยะเวลาการทำงาน
3. การเข้าร่วมประชุมประจำเดือน เฉพาะพี่เลี้ยง อปท./Sc น้อย ไม่สม่ำเสมอ ทำให้การประสานงาน วางแผนการทำงานหนุนเสริมชุมชน เป็นภาระให้พี่เลี้ยง SC ต้องทำหน้าที่เป็นกำลังหลักในการลงพื้นที่ 3. สร้างข้อตกลงร่วมกัน ระหว่างพี่เลี้ยง อปท.ที่ชัดเจนเรื่องการเข้าร่วมประชุมประจำเดือนอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง

 

วิเคราะห์จุดแข็ง พี่เลี้ยง อปท. แนวทางการพัฒนา
1. พี่เลี้ยง อปท. / SC มีการร่วมแรง ร่วมมือปฏิบัติ การดำเนินกิจกรรมให้สามารถบริหารงานให้บรรลุวัตถุประสงค์ 1. การวางแผนกำหนดปฏิทินการทำงานให้ชัดเจนและสม่ำเสมอ มีรายงานการประชุมทุกครั้ง เพื่อรายงานความก้าวหน้าให้ผู้บริหารท้องถิ่นรับทราบ
2. พี่เลี้ยง SC มีความรู้/ประสบการณ์ สามารถถ่ายทอดองค์ความรู้ ให้คำแนะนะหรือเป็นที่ปรึกษาที่ดี ให้กับคณะทำงาน (พี่เลี้ยง อปท.) ได้ 2. การพัฒนาองค์ความรู้ พี่เลี้ยง อปท./SC ที่มีอยู่แล้วให้มีประสิทธิภาพการปฏิบัติงานและบริหารจัดการโครงการอย่างมีส่วนร่วมมากยิ่งขึ้น โดยขอสนับสนุนบุคลากรจากภาคีเครือข่าย เข้ามาเป็นแรงเสริมในการดำเนินงาน
3. ผู้บริหารท้องถิ่น(นายกฯ) มีความเข้าใจเรื่องการพัฒนาชุมชนน่าอยู่ด้วยกลไกสภาผู้นำชุมชนชัดเจน / เห็นความสำคัญของหมู่บ้านหรือสภาผู้นำชุมชน ช่วยเหลือกระบวนการทำงานแม้ไม่มีการร้องขอ 3. ผู้บริหารท้องถิ่น,สมาชิกสภาเทศบาล,ข้าราชการ,พนักงาน,ลูกจ้าง มีความเข้าใจเรื่องการพัฒนาชุมชนน่าอยู่ด้วยกลไกสภาผู้นำชุมชน และเข้ามาช่วยเหลือกระบวนการทำงานของสภาผู้นำชุมชน โดยใช้หลักการบูรณาการร่วมกัน ระหว่างพี่เลี้ยง อปท.และสภาผู้นำชุมชน

5.3 แนวทางการพัฒนาตนเองของทีมสภาผู้นำชุมชนเพื่อให้ทันต่อสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น (ทางด้านสุขภาพและด้านอื่นๆ) แนวคิด 3 ห่วง เศรษฐกิจพอเพียง ชุมชนมีความสามารถในการจัดการตนเอง มีแผนพัฒนาชุมชน มีการนำมาปฏิบัติใช้/แผนหรือระบบจัดการ ระบบช่วยเหลือ โดยการจัดทำแผนหรือปฏิทินกิจกรรมต่าง ๆ ล่วงหน้า มีแนวทางการป้องกันปัญหาที่เคยเกิดขึ้นแล้วในชุมชน ไม่ให้เกิดซ้ำ การประเมินความเสี่ยง ระบบเฝ้าระวังมีแผนรองรับการเปลี่ยนแปลงที่อาจจะเกิดขึ้นหรือเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึง โดยมีการศึกษาการแก้ไขปัญหาเหตุการณ์ที่ผ่านมาแล้ว ความสามารถในการปรับ การฟื้นตัวจากปัญหาที่เกิดในชุมชน ทางสภาผู้นำชุมชนจะมีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นตามสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น โดยจากสภาผู้นำชุมชนที่มีความหลากหลาย และประสบการณ์ทำงาน จึงง่ายต่อการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ได้ดี

 

Shares:
QR Code :
QR Code

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ระบุข้อความ