“ชาวคูขุด” ร่วมรักษาที่มั่นสุดท้าย “ทะเลสาบสงขลา”

“ชาวคูขุด” ร่วมรักษาที่มั่นสุดท้าย “ทะเลสาบสงขลา”

พื้นฟูแหล่งน้ำ คืนทรัพยากรธรรมชาติ ชุบชีวิตชุมชน

ทะเลสาบสงขลานับว่าเป็นทะเลสาบ 3 น้ำขนาดใหญ่ของประเทศ คือ น้ำจืด น้ำกร่อย และน้ำเค็ม ปัจจุบันอยู่ในสภาพเสื่อมโทรมจากหลายสาเหตุ และอยู่ระหว่างการฟื้นฟูอย่างต่อเนื่อง ด้วยสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงนี้ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศและพันธุ์สัตว์น้ำหลากหลายประเภทในลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา ซึ่งมีอาณาบริเวณกว้างติดต่อกันหลายจังหวัด

ความเสื่อมโทรมที่เกิดขึ้นได้ส่งผลต่อเนื่องมายังพื้นที่แหล่งทำประมงพื้นบ้านของชุมชน บ้านคูขุดหมู่ที่ 5 ตำบลคูขุด อำเภอสทิงพระ จังหวัดสงขลา ทำให้ชาวประมงในชุมชนแห่งนี้ต้องลุกขึ้นมาฟื้นฟูแหล่งทำกินด้วยการดำเนินงาน “โครงการร่วมสร้างสุขให้ชุมชน ด้วยการฟื้นเลบ้านคูขุด” โดยการสนับสนุนของ สำนักสร้างสรรค์โอกาสและนวัตกรรม สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เพื่อสร้างความมั่นคงด้านแหล่งอาหาร เป็นแหล่งอาชีพของชุมชน และการรักษาสภาพแวดล้อมให้กลับคืนมาเหมือนเดิมอีกครั้ง

หัวเรี่ยวหัวแรงในเรื่องนี้ นิทัศน์ แก้วศรี  ประธานกรรมการแพปลาชุมชนคูขุด เล่าว่า ในอดีตทะเลสาบแห่งนี้มีความอุดมสมบูรณ์เป็นแหล่งที่อยู่ของสัตว์น้ำและสัตว์ที่อาศัยป่าชายเลน มีการสำรวจจากสถาบันวิจัยเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่งจังหวัดสงขลาและมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ พบว่ามีสัตว์น้ำอยู่ 700 กว่าสายพันธุ์ แต่ต่อมาทะเลสาบสงขลาเกิดการตื้นเขิน ดินตะกอนไม่มีการไหลเวียน เนื่องจากการปิดปากระวะในพื้นที่ของอำเภอระโนดเพื่อไม่ให้น้ำทะเลไหลเข้า เนื่องจากบริเวณนั้นทำนาข้าว และมีการปล่อยน้ำเสียงลงทะเลสาบ การบุกรุกป่าชายเลน รวมทั้งการทำประมงแบบผิดกฎหมาย ทำให้ปลาเศรษฐกิจที่ชาวประมงเคยจับได้หายไป ในขณะที่จำนวนเรือประมงกลับมีมากขึ้น ส่งผลกระทบต่อวิถีอาชีพของชุมชน จึงได้มาคุยในหมู่ชาวประมงเพื่อหาทางฟื้นฟูทะเลสาบบริเวณบ้านคูขุด เพื่อนำความสมบูรณ์กลับคืนมา

“ในอดีตมีเรื่อประมงทำอวนลอยล้อมจับปลา 4-5 ผืน แต่ตอนนี้ 40-50 ผืนเยอะกว่าเดิมมาก ไม่ค่อยพอกิน  เราชาวประมงก็เลยมาระดมความคิดแก้ปัญหา และได้ทางออกคือจะซื้อพันธุ์สัตว์น้ำมาปล่อย ก็ขอเงินในหมู่ชาวประมงได้ 2,000 บาท เป็นก้อนแรกซื้อปลามาปล่อยเมื่อปี 2536 แล้วก็หาไม้ไปปักเป็นแนวเพื่อไม่ให้เรือเข้าไปรบกวน” ประธานกรรมการแพปลาชุมชนคูขุด เล่าถึงการแก้ปัญหาของชาวบ้าน

เฉพาะแค่ปล่อยปลาคงไม่พอ ประธานกรรมการแพปลาชุมชนคูขุด เล่าว่าจากจุดเริ่มดังกล่าว ชุมชนเริ่มมีความเข้มแข็งขึ้นจึงได้เสนอไปทางจังหวัด โดยประมงจังหวัดสงขลา ได้เข้ามาร่วมจัดตั้งเป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์น้ำบ้านคูขุด บริเวณหมู่ 3 ถึงหมู่ 7 กินเนื้อที่ประมาณ 933 ไร่ ปล่อยลูกกุ้ง ลูกปลา พร้อมกับการตั้ง ชมรมประมงอาสา เพื่อดูแลพื้นที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์น้ำไม่ให้เรือเข้าไปรบกวน หรือลักลอบทำการประมง ขณะเดียวกันก็ดำเนินงานควบคู่กับองค์กรเอกชน สมาคมรักษ์ทะเลไทย ซึ่งดำเนิน โครงการแลใต้เพื่อการฟื้นฟูทะเลสาบ ในขณะนั้น และต่อมาทางรัฐบาลได้เข้ามาขุดลอกทะเลสาบรอบๆ อ่าวลึก 3 เมตร มีความยาว 1,800 เมตร ทำให้พบปลาที่อยู่อาศัยในน้ำลึกมากขึ้น สภาพแวดล้อมดีขึ้น ไม่มีใครทิ้งขยะหรือปล่อยน้ำเสียลงทะเลสาบ ระบบการไหลของน้ำหมุนเวียน เหมาะแก่การอยู่อาศัยของสัตว์น้ำ มีพื้นที่เขตอนุรักษ์จัดไว้สำหรับให้สัตว์น้ำได้ขยายพันธุ์และชาวประมงทุกคนเคารพกติกาที่ร่วมจัดทำด้วยกัน

“ชาวประมงทำกิจกรรมร่วมกับชุมชนตลอด ทั้งการจัดทำธนาคารกุ้งไข่ ขอกุ้งไข่จากชาวประมงรายละ 3 ตัว สร้างกติกาชุมชน กำหนดขนาดตาอวน 5 เซนติเมตรขึ้นไป ทำแผนร่วมกับประมงจังหวัดเพื่อปล่อยสัตว์น้ำทุกปี สร้างเครือข่ายช่วยกันไปลอกทะเลสาบ ปลูกป่าโกงกาง เชิญชวนชาวบ้าน เยาวชน นักเรียน เข้าร่วมกิจกรรม ช่วยกันดูแลสภาพแวดล้อม ไม่ทิ้งขยะหรือปล่อยน้ำเสียลงไปในน้ำ”  นิทัศน์ กล่าวย้ำพร้อมให้ข้อมูลว่าจากการทำประมงพื้นบ้านด้วยวิธีดั้งเดิม ไม่มีสารพิษตกค้างในสัตว์ทะเล ทำให้แพปลาได้รับการรับรองมาตรฐานให้เป็นผลิตภัณฑ์อินทรีย์จากมูลนิธิสายใยแผ่นดินและสหภาพยุโรปซึ่งมีมาตรฐานสูงมาก ทำให้สามารถจำหน่ายสินค้าสู่กลุ่มผู้บริโภคได้แน่นอนในราคาที่น่าพอใจ

ทางด้าน จรูญ สุวรรณวงศ์ ชาวประมงบ้านคูขุด เปิดเผยว่าทำอาชีพประมงมา 20 กว่าปีแล้ว โดยหลังจากปี 2513 เป็นต้นมาเริ่มสังเกตว่าจำนวนปลาที่จับได้ลดลง หายากขึ้นต้องออกเรือไกลกว่าเดิม ต่อมาจึงได้เข้าร่วมกิจกรรมกับแพปลาชุมชน ร่วมดำเนินการปักเขตอนุรักษ์พันธุ์สัตว์น้ำ และกิจกรรมเชิงอนุรักษ์หลายครั้ง ในปัจจุบันนี้พบว่าสถานการณ์ดีขึ้นเรื่อยๆ มีสัตว์น้ำให้จับมากขึ้นกว่าเดิม

“พอมีกิจกรรมเชิงอนุรักษ์ก็จะเข้าร่วมทุกครั้ง ก็ชักชวนเพื่อชาวประมงด้วยกันมาทำด้วย เพื่อนๆก็อยู่ในกติกา ไม่ทำประมงแบบผิดกฎหมาย ไม่เข้าไปในพื้นที่อนุรักษ์เพราะสงวนไว้ให้เป็นที่อยู่ของสัตว์น้ำ ใครละเมิดกฎก็ตักเตือนกัน” จรูญ กล่าว

สภาพแวดล้อมทะเลสาบบ้านคูขุดระบบนิเวศค่อยๆฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันชุมชนยังดำเนินกิจกรรมเพื่อการอนุรักษ์หลายๆด้าน ทั้งการปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำ การปลูกป่าชายเลนให้เป็นที่อาศัยของสัตว์ การดูแลเรื่องขยะ น้ำเสีย เพื่อให้เกิดความยั่งยืนด้านในด้านการแหล่งอาหาร เพราะทะเลสาบสงขลาเป็นที่มั่นสุดท้ายของชุมชน ที่ทุกคนต้องร่วมกันดูแลรักษาเพื่อการสร้างงานสร้างอาชีพให้ดำรงอยู่อย่างยั่งยืน.

Shares:
QR Code :
QR Code