บทเรียนโครงการชุมชนน่าอยู่: โมเดล รพ.สต.ดงคู่ พื้นที่บ้านหนองวัวเฒ่า ม.9 จ.สุโขทัย

บทเรียนการดำเนินงานของกลไกการดำเนินงานโครงการชุมชนน่าอยู่ โมเดล รพ.สต. (รพ.สต.ดงคู่)

พื้นที่โครงการชุมชนน่าอยู่ หมู่บ้านหนองวัวเฒ่า หมู่ที่ 9 ตำบลดงคู่ อำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย

โดย นายรณชัย เชลียงรัชต์ชัย

ทีมสนับสนุนวิชาการ หน่วยจัดการชุมชนน่าอยู่ภาคเหนือ

1.บริบทของพื้นที่

บ้านหนองวัวเฒ่า หมูที่ 9 ตำบลดงคู่  เขตรับผิดชอบ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลดงคู่ เป็นหมู่บ้านซึ่งแยกจากบ้านห้วยติ่ง หมู่ที่ 4 ตำบลดงคู่ ในปี 2545  เหตุที่ให้ชื่อว่า บ้านหนองวัวเฒ่า  เนื่องจากในอดีตมีชาวจีนคนหนึ่ง ชื่อว่า เจ๊กกัง อพยพมาอาศัยอยู่ในพื้นที่บริเวณนี้ มีอาชีพเลี้ยงวัว โดยอาศัยหนองน้ำธรรมชาติ ต่อมาวัวของนายเจ๊กกัง ซึ่งเป็นวัวแก่ได้ลงไปกินน้ำในหนองดังกล่าว และติดโคลนตาย จึงให้ชื่อหนองน้ำนั้นว่า หนองวัวเฒ่า เมื่อมีการแยกหมู่บ้านจึงตั้งชื่อหมู่บ้านว่า “บ้านหนองวัวเฒ่า” มีนายพยอม  ทองอยู่ เป็นผู้ใหญ่บ้านคนแรก (20 สิงหาคม 2545 – 19 สิงหาคม  2550) ปัจจุบันมีนายแย้ม  ทองอยู่ เป็นผู้ใหญ่บ้าน (ตั้งแต่วันที่ 5 กันยายน  2550) ตั้งอยู่ห่างจากอำเภอศรีสัชนาลัย  เป็นระยะทาง   15  กิโลเมตร เป็นชุมชนชนบท ขนาดเล็ก มีจำนวนครัวเรือน 101  ครัวเรือน ประชากรจำนวน  346  คน ชาย จำนวน  166  คน หญิง จำนวน  180  คน วัยเด็ก/ศึกษา จำนวน  53  คน (อายุ แรกเกิด-19 ปี) วัยแรงงาน จำนวน 231 คน (อายุ 20 – 60 ปี) วัยสูงอายุ จำนวน  62   คน (อายุ 60 ปีขึ้นไป) การประกอบอาชีพของประชาชนในหมู่บ้าน อาชีพหลัก ได้แก่ ทำนา ไร่อ้อย อาชีพรอง ได้แก่ ทำนาผักบุ้ง อาชีพอื่น ๆ ได้แก่ รับจ้างทั่วไป

ปัญหาก่อนดำเนินโครงการ จากการทบทวนสภาพปัญหาของชุมชน จัดลำดับความรุนแรงของปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาวะของคนในชุมชน โครงการ/กิจกรรมที่จะดำเนินการ แหล่งทุนที่คาดว่าจะได้รับ และทบทวนปัญหาที่มีความต้องการที่จะแก้ไขเร่งด่วนด้านยุทธศาสตร์การพัฒนาด้านคุณภาพชีวิตและสาธารณสุข (ด้านสุขภาพ) ภายใต้เงื่อนไขแผนพัฒนาหมู่บ้านหรือแผนชุมชน (ทำเอง ทำร่วม ทำขอหรือทำให้)  ภายใต้การขับเคลื่อนของแกนนำชุมชน ในรูปแบบทีมสภาผู้นำชุมชน งบประมาณสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สำนัก 6 พบว่า

  1. ปัญหาการระบาดของโรคไวรัสโคโรน่า 2019 (โควิด-19) ได้รับการประสานหน่วยงานรับผิดชอบ/แหล่งทุน ประเภททำขอ จากอบต.ดงคู่ รพ.สต.ดงคู่
  2. ปัญหาการระบาดของยาเสพติดและฟื้นฟูผู้เสพคืนสู่ครอบครัว ได้รับการประสานหน่วยงานรับผิดชอบ/แหล่งทุน ประเภท ทำร่วม จากกรมการปกครองและประเภททำขอ จากอบจ.สุโขทัย
  3. ปัญหาโรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน ได้รับการประสานหน่วยงานรับผิดชอบ/แหล่งทุน ประเภททำขอ จากกองทุนหลักประกันสสุขภาพตำบลดงคู่
  4. ปัญหาโรคติดต่อโดยแมลง (ไข้เลือดออก) ได้รับการประสานหน่วยงานรับผิดชอบ/แหล่งทุน ประเภททำร่วม จากรพ.สต.ดงคู่ และกองทุนหลักประกันสสุขภาพตำบลดงคู่
  5. ปัญหาสิ่งแวดล้อมและขยะในครัวเรือน ซึ่งขาดงบประมาณ

ทางทีมสภาผู้นำชุมชนและตัวแทนครัวเรือนจึงลงมติเอกฉันท์คัดเลือกที่จะแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมและขยะในครัวเรือน โดยขอรับการสนับสนุนงบประมาณจาก สสส.  ซึ่งมีสถานการณ์ปัญหาดังนี้

ประชาชน จำนวน 101 ครัวเรือน ไม่มีการคัดแยกขยะ และจำนวน 80 ครัวเรือนมีการจัดการขยะด้วยวิธีเผากลางแจ้ง โดยมีปริมาณขยะภาคครัวเรือน เฉลี่ย 50 กิโลกรัมต่อเดือนต่อครัวเรือน แบ่งออกเป็นขยะทั่วไป 20 กิโลกรัมต่อเดือนต่อครัวเรือน ขยะอินทรีย์ 30 กิโลกรัมต่อเดือนต่อครัวเรือน และมีพื้นที่สาธารณะในชุมชนที่เสี่ยงต่อการทิ้งขยะ จำนวน 2 จุด

ทุนศักยภาพของชุมชน บ้านหนองวัวเฒ่า หมู่ที่ 9 ตำบลดงคู่ มีทุนเดิมทั้งกรรมการหมู่บ้าน ปราชญ์ชาวบ้าน ความรู้ วัฒนธรรม ภาคีเครือข่าย ทรัพยากรสิ่งแวดล้อม กองทุนชุมชน แกนนำ ฐานข้อมูลชุมชนต่างๆที่สำคัญ เช่น ทุนทางสังคม ช่วยเหลือเกื้อกูล ขนบธรรมเนียมประเพณี ภูมิปัญญาที่ดี การสำนึกรักษ์และตอบแทนคุณบ้านเกิด ทุนทางเศรษฐกิจ มีการออมเงินกับกลุ่มชุมชน ทุนทางความมั่นคงและความสงบเรียบร้อย มีจิตอาสา มีการจัดตั้งแกนนำชุมชนในการดูแลและป้องกันและรักษาทรัพย์สินของประชาชน การอยู่เวรยามในการป้องกันอุบัติเหตุในช่วงเทศกาล การปฏิบัติหน้าที่เฝ้าระวังและป้องกันควบคุมโรคระบาดที่สำคัญ เช่น ไข้เลือดดอก โรคไวรัสโคโรน่า โควิด-19 เป็นต้น ทุนทางการบริหารจัดการ มีองค์การบริหารส่วนตำบลดงคู่ มีเครื่องมือในการจัดเก็บบันทึกข้อมูล และสนับสนุนการบริหารจัดการด้านต่างๆของหมู่บ้านเป็นอย่างดี และจากประสบการณ์ในการทำกิจกรรมด้วยกระบวนการมีส่วนร่วมของคนในชุมชนร่วมกับหน่วยงานต่างๆในตำบล ทำให้ผู้นำชุมชนและแกนนำกลุ่มต่างๆเกิดเรียนรู้ร่วมกัน สามารถทำงานร่วมกันได้เป็นอย่างดี อาทิเช่น การทบทวนแผนชุมชนพึ่งตนเอง การสร้างการมีส่วนร่วมในชุมชน และการใช้เวทีประชุมร่วมกับภาคีเครือข่าย แลกเปลี่ยนประสบการณ์การดำเนินงานในแต่ละประเด็น เพื่อเสริมพลัง ชื่นชมผลงานที่บรรลุวัตถุประสงค์ ร่วมปรึกษา แนวทางแก้ไขปัญหา เพื่อนำไปสู่การประเมินผลสำเร็จในข้อมูลเชิงประจักษ์

2.การก่อตัวของกลไกพี่เลี้ยง รพ.สต./อปท.

1) จำนวนพีเลี้ยงใน รพ.สต. การจัดโครงสร้างทีมพี่เลี้ยง รพ.สต.ดงคู่ ร่วมกับสภาผู้นำชุมชน 5 หมู่บ้าน รับทุนจาก สสส.ในปี 2565 โดยระยะเริ่มต้นโครงการคัดเลือกพี่เลี้ยง รพ.สต.ดงคู่ ร่วมทีมหนุนเสริมสภาผู้นำชุมชน จำนวน 4 คน ประกอบด้วย นักวิชาการสาธารณสุข รพ.สต.ดงคู่ จำนวน 2 คน และ เจ้าพนักงานสาธารณสุข อบต.ดงคู่ 1 คน รองนายก อบต. จำนวน 1 คน และระยะปิดโครงการมีพี่เลี้ยง จำนวน 3 คน เนื่องจากมีนักวิชาการสาธารณสุข จำนวน 1 คน ย้ายออกจากพื้นที่ แต่ทางสภาผู้นำชุมชนได้ประสานความร่วมมือจากผู้อำนวยการ รพ.สต.ดงคู่ ในการสนับสนุนบุคลากรร่วมเป็นพี่เลี้ยง และได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี จึงได้พี่เลี้ยงเพิ่มขึ้นหากได้รับงบประมาณในการดำเนินการปีถัดไป จำนวน 2 คน คือ พยาบาลวิชาชีพและเจ้าพนักงานสาธารณสุข โดยสรุปหากได้ดำเนินการในปีถัดไป พื้นที่ตำบลดงคู่ จะมีพี่เลี้ยง จำนวน 5 คน ประกอบด้วย

พี่เลี้ยงภายใน รพ.สต. จำนวน 3 คน คือ พยาบาลวิชาชีพ 1 คน นักวิชาการสาธารณสุข 1 คน เจ้าพนักงานสาธารณสุข 1 คน พี่เลี้ยง ภายนอก จำนวน 2 คน คือ เจ้าหน้าที่ อบต.ดงคู่ ประกอบด้วย รองนายก และ เจ้าพนักงานสาธารณสุข โดยมีนายรณชัย เชลียงรัชต์ชัย นักวิชาการสาธารณสุขชำนาญการ เป็นหัวหน้าพี่เลี้ยงหลัก มีการแบ่งบทบาทหน้าที่ในการหนุนเสริมสภาผู้นำชุมชน หัวหน้าทีม 2 หมู่บ้านและลูกทีมคนละ 1 หมู่บ้าน และอยู่ภายใต้การดูแลภาพรวมของหัวหน้าทีม

2) สมรรถนะพี่เลี้ยงใน รพ.สต. พบว่า อยู่ในขั้นที่ 3 พี่เลี้ยง รพ.สต. สามารถขับเคลื่อนงานร่วมกันระหว่าง รพ.สต. ชุมชน และภาคีได้ โดยพี่เลี้ยงหลักคือ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลดงคู่ สามารถหนุนเสริมให้ทีมสภาผู้นำชุมชนบ้านนาขุนไกร ร่วมเป็นคณะอนุกรรมการกองทุนหลักประกันสุขภาพตำบล อบต.ดงคู่ และร่วมเป็นคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับตำบล (พชต.) ตำบลดงคู่ได้  สามารถหนุนเสริมชุมชนในการจัดทำแผนงานโครงการหรือกิจกรรมเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาสุขภาพอย่างน้อย 1 ประเด็น โดยใช้กลไกการมีส่วนร่วมจัดทำแผนงานโครงการ ระหว่างทีมสภาผู้นำชุมชน และรพ.สต. ที่สอดคล้องกับแผนปฏิบัติการด้านสาธารณสุขของ รพ.สต. บรรจุอยู่ในแผนชุมชนพึ่งตนเองของหมู่บ้านได้ ครอบคลุมทุกด้าน ทุกประเด็น (ทำเอง ทำร่วม ทำขอ)

พบว่า การสร้างทีมพี่เลี้ยงที่มีสมรรถนะได้นั้น จำเป็นต้องเปิดใจพร้อมเรียนรู้สิ่งใหม่ และต้องมีความรู้ ความเข้าใจ เรื่องแนวคิดชุมชนน่าอยู่และกลไกสภาผู้นำชุมชน และมีพื้นฐานความรู้ความเข้าใจระบบการบริการด้านสุขภาพและงานสร้างเสริมสุขภาพแบบมีส่วนร่วม และเชื่อมโยงสู่แผนสุขภาพตำบล และที่สำคัญต้องมีใจเป็นหนึ่งเดียวกับชุมชน ยึดชุมชนเป็นศูนย์กลาง และรับรู้อุปสรรค รับประโยชน์ที่ได้รับร่วมกันทั้งสองฝ่าย

3.กลไกพี่เลี้ยง รพ.สต./อปท.

1) การกำหนดการกิจของทีมพี่เลี้ยง ทั้งในการเป็นผู้พัฒนาชุมชน และภารกิจของหน่วยงาน โดยผู้อำนวยการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลดงคู่และสภาผู้นำชุมชนบ้านห้วยไคร้ ร่วมกันกำหนดภารกิจของการดำเนินการประเด็นหลักร่วมกันคือ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เพิ่มการคัดแยกขยะ และลดปริมาณขยะในชุมชน จึงมีการกำหนดภารกิจหลักแก่ทีมพี่เลี้ยงในการหนุนเสริมชุมชน และร่วมพัฒนาชุมชนเพื่อให้สอดคล้องกับผลลัพธ์เชิงประเด็นของชุมชนและตัวชี้วัดของหน่วยงาน คือ การจัดการปัญหาขยะในชุมชน โดยปริมาณขยะในชุมชนที่เหลือจากการคัดแยกและใช้ประโยชน์ลดลงร้อยละ 60 จากเดิม 60 กิโลกรัมต่อครัวเรือนต่อเดือน เหลือ 32 กิโลกรัมต่อครัวเรือนต่อเดือน และลดปัจจัยที่เป็นสาเหตุของการเจ็บป่วยจากโรคที่มีความสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อม ( โรคไข้เลือดออก โรคซิก้า โรคอุจจาระ ลดลง ร้อยละ 20 จากค่ามัธยฐาน 5 ปี) ตาม MOU ว่าด้วยการดำเนินงานการจัดการสุขภาพระดับปฐมภูมิ ด้วยกลไกสภาผู้นำชุมชน ภายใต้การดำเนินงานโครงการชุมชนน่าอยู่ (Model รพ.สต.) การประสานความร่วมมือกับ รพ.สต.ในการขับเคลื่อนนโยบายการจัดการขยะและสิ่งแวดล้อม GREEN & CLEAN HOSPITAL และการดำเนินงานชุมชนสิ่งแวดล้อมเข็มแข็ง ACTIVE COMMUNINY  กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข

2) การสื่อสารภายในทีมและหัวหน้าหน่วยงาน ประเด็นที่จำเป็นต้องสื่อสารต่อเนื่อง ประกอบด้วย ความรู้ความเข้าใจการทำงานชุมชนน่าอยู่ (โมเดล รพ.สต.) อาทิเช่น เรื่องแนวคิดชุมชนน่าอยู่และกลไกสภาผู้นำชุมชน การจัดทำแผนชุมชนพึ่งตนเอง  การประเมินผลเพื่อการเรียนรู้และพัฒนา (ARE) และระบบการบริการด้านสุขภาพและงานสร้างเสริมสุขภาพแบบมีส่วนร่วม และเชื่อมโยงสู่แผนสุขภาพตำบล และออกแบบและเก็บข้อมูลสถานะสุขภาพของ รพ.สต. และข้อมูลเชิงประเด็นของทีมสภาผู้นำชุมชน รวมถึงการประสานการทำงานระหว่าง รพ.สต. สภาผู้นำชุมชนและหน่วยจัดการชุมชนน่าอยู่ภาคเหนือและภาคีในพื้นที่ตำบลนาขุนไกร

ทั้งนี้เงื่อนไขสำคัญที่ทำให้การสื่อสารต่อเนื่อง เกิดประสิทธิผล นำไปสู่ความเข้าใจและทักษะได้นั้นจำเป็นต้อง มีการประชุมอย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง มีการหารือโครงการ สสส. และประเด็นอื่นๆในชุมชน และมีรายงานการประชุมทุกครั้ง และทุกคนสามารถเสนอความคิดเห็นในที่ประชุม มีช่องทางการสื่อสารที่พี่เลี้ยงเข้าถึงง่าย เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร ความก้าวหน้าในการทำงานทุกงานที่ชุมชนดำเนินการให้สมาชิกทีมพี่เลี้ยงรับทราบอย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง  เพื่อช่วยกันวิเคราะห์จุด่อน จุดแข็งของชุมชน นำไปสู่การหนุนเสริมและแก้ไขปัญหาของชุมชนได้ทันเวลา ไม่มีความเสี่ยงระหว่างดำเนินงาน เช่น การจัดกิจกรรมตามกำหนดการ การเบิกจ่ายเงิน เอกสารการเงิน เอกสารสรุปความก้าวหน้า และการทำงานภายในทีมของสภาผู้นำชุมชน เป็นต้น

3) สภาผู้นำชุมชนเป็นผู้ตัดสินใจ และดำเนินงานต่างๆในชุมชนได้เองทั้งหมด โดยไม่ต้องพึ่งพาพี่เลี้ยง

วิธีการสื่อสารกับหัวหน้าหน่วยงานกรณีที่หัวหน้าไม่ได้เป็นพี่เลี้ยง

– รูปแบบการเรียนรู้ภายในทีม ใช้แนวทางการเรียนรู้จากการปฏิบัติจริงและมีส่วนร่วม โดยจำเป็นต้อง แผนในการหนุนเสริมการทำงานของทีมสภาผู้นำชุมชนด้วย จึงจะส่งผลต่อการเรียนรู้ภายในทีมได้อย่างมีประสิทธิภาพ

– การสร้างการมีส่วนร่วมของทีมและการร่วมแก้ไขปัญหา ได้ดำเนินการโดย พี่เลี้ยง ต้องเข้าร่วมเข้าประชุมและร่วมกิจกรรมไม่น้อยกว่าร้อยละ 65 ของกิจกรรมในชุมชน และในการประชุมหรือร่วมกิจกรรม ผู้เข้าร่วมสามารถแสดงความคิดเห็น ร่วมตัดสินใจเรื่องการดำเนินงาน และเสนอแนะ พิจารณาปัญหาใหม่ๆ รวมทั้งมีการร่วมติดตามประเมินผลได้ทุกคน โดยจำเป็นต้องเปิดโอกาสให้พี่เลี้ยงและสมาชิกชุมชนเข้าประชุมและร่วมกิจกรรมไม่น้อย กว่าร้อยละ 65 และสมาชิกชุมชนทุกคน สามารถแสดงความคิดเห็นมากขึ้น หรือมีสมาชิกหน้าใหม่ร่วมแสดงความคิดเห็นมากขึ้น สมาชิกชุมชนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจมากขึ้น หรือมีสมาชิกหน้าใหม่ร่วมตัดสินใจ และสมาชิกชุมชนมีข้อเสนอแนะ หรือให้ทางเลือกใหม่ๆ ในการแก้ปัญหาชุมชนมากขึ้น และเพิ่มประสิทธิภาพการมีส่วนร่วมของทีมพี่เลี้ยงและสภาผู้นำชุมชน โดยเปิดโอกาสให้สมาชิกชุมชนมีส่วนร่วมในการติดตามประเมินผล หรือสามารถร่วมประเมินความสำเร็จของชุมชนได้ จึงจะส่งผลต่อการมีส่วนร่วมของทีมและการร่วมแก้ไขปัญหาทั้งในส่วนของทีมงานและต่อกลไกสภาผู้นำชุมชนในแต่ละหมู่บ้านได้

4.การบริหารจัดการเป้าหมายร่วมของพื้นที่

1) การกำหนดเป้าหมายร่วมกันระหว่าง รพ.สต.ดงคู่ องค์การบริหารส่วนตำบลดงคู่ และสภาผู้นำชุมขน  ได้มีการกำหนดเป้าหมายร่วมกัน คือ ปริมาณขยะในชุมชนที่เหลือจากการคัดแยกและใช้ประโยชน์ลดลงร้อยละ 50 จากเดิม 50 กิโลกรัมต่อครัวเรือนต่อเดือน เหลือ 22 กิโลกรัมต่อครัวเรือนต่อเดือน และลดปัจจัยที่เป็นสาเหตุของการเจ็บป่วยจากโรคที่มีความสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อม ( โรคไข้เลือดออก โรคซิก้า โรคอุจจาระ ลดลง ร้อยละ 20 จากค่ามัธยฐาน 5 ปี)  โดยการกำหนดเป้าหมายร่วมกันให้เกิดการยอมรับ นำไปสู่การบรรลุเป้าหมายได้จริง จำเป็นต้อง ใช้ข้อมูลชุดเดียวกันและมีการกำหนดข้อตกลงร่วมกัน

2) การวางแผนการดำเนินงานร่วมกันระหว่าง รพ.สต.ดงคู่ และสภาผู้นำชุมขนจากเป้าหมายร่วมที่กำหนดด้วยการรวบรวมข้อมูลปริมาณขยะทั้งหมดในครัวเรือนต่อเดือน ครัวเรือนที่มีการคัดแยกขยะก่อนทิ้งและมีการใช้ประโยชน์จากขยะที่ผ่านการคัดแยก ปริมาณขยะอันตรายและขยะติดเชื้อในชุมชน รวมถึงค่าดัชนีลูกน้ำยุงลายในบ้าน (House Index)  HI  และค่าดัชนีลูกน้ำยุงลายในภาชนะ (Container Index) CI และอัตราป่วยด้วยโรคที่มีปัจจัยที่เป็นสาเหตุของการเจ็บป่วยจากโรคที่มีความสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อม เช่น โรคไข้เลือดออก โรคซิก้า โรคอุจจาระ ลดลง ร้อยละ 20 จากค่ามัธยฐาน 5 ปี มาประมวลผล จัดเวทีประชาคมทำความเข้าใจโครงการร่วมกับสมาชิกชุมชนรวมถึงการคืนข้อมูลให้แก่สมาชิกชุมชน

ทั้งนี้ จะต้องร่วมกันวิเคราะห์จุดเสี่ยง ค้นหาปัจจัยที่ทำให้เกิดขยะ เพื่อทำแผนการปรับปรุงจุดเสี่ยงต่อการทิ้งขยะ หรือแหล่งเพาะพันธ์เชื้อโรคที่เกิดจากขยะ โดยร่วมกันออกความคิดเห็น เพื่อทำความเข้าใจร่วมกันถึงลักษณะของขยะและการเกิดโรค และร่วมกันคัดเลือกและจัดลำดับจุดเสี่ยงที่ต้องการทำการปรับปรุงแก้ไขก่อน-หลัง และกำหนดข้อตกลงร่วมของชุมชนในการแก้ไขปัญหาขยะที่ชุมชนสามารถดำเนินการได้เอง จึงจะเกิดการยอมรับ จัดแบ่งหน้าที่และ นำไปสู่การปฏิบัติได้จริง

3) การติดตามและประเมินผลร่วมกันระหว่าง รพ.สต.ดงคู่ และสภาผู้นำชุมขนเพื่อให้บรรลุเป้าหมายร่วมที่กำหนดร่วมกัน ด้วยการ ร่วมประชุมประจำเดือนของสภาผู้นำชุมชน หรือของหมู่บ้านหรือของ รพ.สต. โดยมีขั้นตอนสำคัญ คือ 1) สรุปข้อมูลเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพที่สอดคล้องกับตัวชี้วัดในผลลัพธ์ประเด็นนั้นๆ  2) สะท้อนผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริงตามระยะเวลาที่ดำเนินโครงการ 3) เปรียบผลลัพธ์ที่ได้ว่าบรรลุเป้าหมายร่วมที่กำหนดไว้หรือไม่ 4) แลกเปลี่ยนเรียนรู้สิ่งดีๆที่เกิดขึ้น และร่วมเสนอแนะแนวทางการพัฒนาให้ดีขึ้นหรือแนวทางปรับปรุงให้บรรลุเป้าหมายร่วมที่กำหนดไว้ ทั้งนี้ ทุกครั้งจำเป็นต้องมีหรือต้องใช้ ข้อมูลจริงที่เก็บรวบรวมได้มาอ้างอิงและใช้จริงเป็นรูปธรรม จึงจะเกิดประโยชน์จากรูปแบบของการติดตามและประเมินผลร่วมกันระหว่างรพ.สต. และสภาผู้นำชุมขน

5.ผลลัพธ์การเปลี่ยนแปลงของชุมชน

1) ผลลัพธ์สมรรถนะสำคัญและการปรับเปลี่ยนวิธีทำงานของพี่เลี้ยง โดยเกิดผลลัพธ์ในระยะกลางของวิธีทำงานของพี่เลี้ยง คือ พี่เลี้ยง รพ.สต. มีทักษะในการหนุนเสริมการทำงานของสภาผู้นำชุมชนได้อย่างต่อเนื่องและสามารถขับเคลื่อนงานระหว่าง รพ.สต. อปท.และภาคีในชุมชนได้ ผ่านการถ่ายทอดแนวคิดชุมชนน่าอยู่และหนุนเสริมชุมชนให้เกิดกลไกสภาผู้นำชุมชน สนับสนุนกระบวนการจัดทำแผนชุมชนพึ่งตนเอง ร่วมออกแบบระบบการบริการด้านสุขภาพ และงานสร้างเสริมสุขภาพแบบมีส่วนร่วม และเชื่อมโยงสู่แผนสุขภาพตำบล หนุนเสริมทีมสภาผู้นำชุมชนร่วมเป็นคณะอนุกรรมการกองทุนหลักประกันสุขภาพตำบล หรือคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับตำบล (พชต.) เกิดการขับเคลื่อนนโยบายการจัดการขยะและสิ่งแวดล้อม GREEN & CLEAN HOSPITAL และขับเคลื่อนชุมชนสิ่งแวดล้อมเข็มแข็ง ACTIVE COMMUNINY ร่วมกัน  มีการจัดทำแผนงานโครงการหรือกิจกรรมเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาสุขภาพอย่างน้อย 1 ประเด็น โดยใช้กลไกการมีส่วนร่วมจัดทำแผนงานโครงการ ระหว่างทีมสภาผู้นำชุมชน และ รพ.สต. ที่สอดคล้องกับแผนปฏิบัติการด้านสาธารณสุขของ รพ.สต. บรรจุอยู่ในแผนชุมชนพึ่งตนเอง โดยต้องมีหรือต้องใช้ แนวคิดสาธารณสุขมูลฐานกับการพัฒนาระบบบริการปฐมภูมิ (นโยบาย 3 หมอ) มาประยุกต์ร่วมด้วยจึงจะเกิดสมรรถนะได้ตามที่คาดหวัง ให้สอดคล้องกับบันไดผลลัพธ์ของโมเดล รพ.สต.

2) ผลลัพธ์สมรรถนะของกลไกสภาผู้นำชุมชน โดยเกิดผลลัพธ์ในระยะกลางของวิธีทำงานของสภาผู้นำชุมชน คือ สภาผู้นำชุมชนมีสมรรถนะในการเสริมพลังชุมชนและขับเคลื่อนงานตามแผนชุมชนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในชุมชนได้ โดยต้องมีหรือต้องใช้ เป้าหมายและข้อตกลงร่วมกัน ผ่านการประชุมอย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง มีการหารือโครงการ สสส. และประเด็นอื่นๆในชุมชน และมีรายงานการประชุมทุกครั้ง โดยมีผู้เข้าร่วมประชุมไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของจำนวนสมาชิกสภาผู้นำชุมชน ทุกคนสามารถเสนอความคิดเห็นในที่ประชุมได้  สภาผู้นำชุมชนเป็นผู้ตัดสินใจ และดำเนินงานต่างๆในชุมชนได้เองทั้งหมด โดยไม่ต้องพึ่งพาพี่เลี้ยง สภาผู้นำชุมชนสามารถดำเนินงานได้ตามบทบาทหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย มีการติดตามประเมินผลการดำเนินงานและคืนข้อมูลให้แก่ชุมชน และมีการปรับปรุงการดำเนินงานให้เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนด  สภาผู้นำชุมชนมีการบริหารจัดการงบประมาณโครงการ สสส. และโครงการอื่นของชุมชน ด้วยความโปร่งใส จัดทำบัญชีรับจ่ายและแจ้งข้อมูลให้สมาชิกในชุมชนทราบทุกเดือน สภาผู้นำชุมชนสื่อสารข้อมูลข่าวสารความก้าวหน้าในการทำงานทุกงานที่ชุมชนดำเนินการให้สมาชิกชุมชนรับทราบอย่างน้อยเดือนละครั้ง สมาชิกสภาผู้นำชุมชนร้อยละ  100 จำนวน 25 คน  และพี่เลี้ยง รพ.สต.ได้รับการพัฒนาศักยภาพทักษะการจัดการขยะและการทำงานของกลไกลสภาผู้นำชุมชน จำนวน 2 ครั้ง ในเรื่องเครื่องมือของชุดโครงการชุมชนน่าอยู่ การขับเคลื่อนชุมชนสิ่งแวดล้อมเข้มแข็ง ตำบลนาดงคู่ และการเชื่อมแผนงานโครงการของแผนชุมชนพึ่งตนเองกับแผนปฏิบัติการด้านสาธารณสุขของรพ.สต.และแผนพัฒนาตำบลดงคู่ ของอบต.ดงคู่ มีแผนงาน/โครงการ ที่จะดำเนินงานในรอบปีต่อไป โดยเชื่อมโยงจากโครงการเดิมและเชื่อมต่อกับแผนงาน/โครงการของรพ.สต.เพื่อจัดการระบบบริการสุขภาพ จำนวน 5  ประเด็น คือ 1.  ขยะ 2. ยาเสพติด 3. โควิด-19 4. ไข้เลือดออก 5. โรคเรื้อรัง ที่สอดคล้องกับแผนสุขภาวะตำบลผ่านแผนชุมชนพึ่งตนเอง และมีแนวทางการเชื่อมแผนกับ รพ.สต.ดงคู่ อบต.ดงคู่ พบระดับความสุขของประชาชนในชุมชนอายุ 15 ปีขึ้นไปเพิ่มขึ้น 8.9 จากระดับเดิม  8.3 คะแนน จึงจะเกิดสภาที่มีสมรรถนะได้ตามที่คาดหวัง ที่สอดคล้องกับบันไดผลลัพธ์และ ความเข้มแข็ง 9 มิติได้

3) ผลลัพธ์การเปลี่ยนแปลงของประเด็นสุขภาพที่ดำเนินการร่วมกัน คือ ประเด็นการจัดการขยะ โดยเกิดผลลัพธ์ในระยะกลาง โดยครัวเรือนกลุ่มเป้าหมายร้อยละ 100 จำนวน 101 ครัวเรือน มีการคัดแยกขยะและใช้ประโยชน์จากขยะที่ผ่านการคัดแยก ครัวเรือนลดการเผาขยะ และร้อยละ 100 ขยะอันตรายและขยะติดเชื้อในชุมชนได้รับการจัดการอย่างถูกต้อง เกิดครัวเรือนตัวอย่าง 10 ครัวเรือน

ปัจจัยที่เป็นสาเหตุของการเจ็บป่วยจากโรคที่มีความสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อม โรคไข้เลือดออก โรคซิก้า โรคอุจจาระ ลดลง ร้อยละ 20 จากค่ามัธยฐาน 5 ปี ตัวชี้วัดร่วม รพ.สต. โดยช่วงเดือนตุลาคม 2564 – กันยายน 2565 มีอัตราป่วยเท่ากับ 0 ไม่พบผู้ป่วย และสภาผู้นำชุมชนและรพ.สต.ดงคู่ เกิดการขับเคลื่อนนโยบายการจัดการขยะและสิ่งแวดล้อม และขับเคลื่อนชุมชนสิ่งแวดล้อมเข้มแข็งร่วมกัน ซึ่งมีการประเมินตนเองอยู่ในระดับ ความเข้มแข็งอย่างยั่งยืน ผ่านการประเมินทั้ง 11 ข้อ โดยต้องมีหรือต้องใช้ข้อมูลชุดเดียวกันและมีการกำหนดข้อตกลงร่วมกัน จึงจะเกิดผลลัพธ์ได้ตามที่กำหนดไว้ในวัตถุประสงค์และตัวชี้วัดของโครงการระดับชุมชน

หมายเหตุ***ภาพกิจกรรมการดำเนินงานของสภาผู้นำชุมชนบ้านหนองวัวเฒ่า

   

Shares:
QR Code :
QR Code

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ระบุข้อความ