
บทเรียนโครงการชุมชนน่าอยู่: โมเดล รพ.สต.นาขุนไกร พื้นที่บ้านหนองสะแก ม.12 จ.สุโขทัย
บทเรียนการดำเนินงานของกลไกการดำเนินงานโครงการชุมชนน่าอยู่ โมเดล รพ.สต. (รพ.สต.นาขุนไกร)
พื้นที่โครงการชุมชนน่าอยู่ หมู่บ้าน หนองสะแก หมู่ที่ 12 ตำบลนาขุนไกร อำเภอศรีสำโรง จังหวัดสุโขทัย
โดย นายพิชญ์ทิภัทร รัตนจันทร์กุล
ทีมสนับสนุนวิชาการ หน่วยจัดการชุมชนน่าอยู่ภาคเหนือ
1.บริบทของพื้นที่
บ้านหนองสะแก หมู่ที่ 12 ตำบลนาขุนไกร อำเภอศรีสำโรง จังหวัดสุโขทัย ปัจจุบันมีนายจำลอง ชาติไทย เป็นผู้ใหญ่บ้าน มีครัวเรือนทั้งสิ้น 101 ครัวเรือน ประชากรทั้งหมด 332 คน แยกเป็น ชาย จำนวน 168 คน หญิง จำนวน 162 คน โดยผู้ที่มีอายุ 15 ปีขึ้นไป จำนวน 162 คน
ปัญหาก่อนดำเนินโครงการ จากการสำรวจปัจจัยกำหนดสุขภาพ และความไม่น่าอยู่ของชุมชนบ้านหนองสะแก จำนวน 98 ครัวเรือน พบปัญหาความไม่น่าอยู่ที่เป็นมติเอกฉันท์ที่ทำให้คนในชุมชนคัดเลือกที่จะแก้ไขปัญหา ได้แก่ การจัดการจุดเสี่ยงและพฤติกรรมเสี่ยง เพื่อป้องกันอุบัติเหตุทางถนนในชุมชน
โดยรอบปีที่ผ่านมาสมาชิกในชุมชนประสบอุบัติเหตุทางถนน จำนวน 14 ครั้ง และมีความรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต จำนวน 1 ราย ขั้นบาดเจ็บ จำนวน 15 คนและไม่มีผู้พิการ มีจุดเสี่ยงที่ควรได้รับการแก้ไข ดังนี้
1.ถนนเส้นหลัก มีจุดเสี่ยง จำนวน 3 จุด มีลักษณะเป็นทางโค้งและผิวทางชำรุด ระยะทางเฉลี่ย 5 กิโลเมตร แยกเป็นจุดเสี่ยงในชุมชนที่สามารถแก้ไขได้โดยชุมชน 2 จุด และจุดเสี่ยงในชุมชนที่ชุมชนไม่สามารถแก้ไขได้เองต้องทำร่วมหรือส่งต่อแขวงการทางทุ่งเสลี่ยม จำนวน 1 จุด
2.ถนนสัญจรภายในชุมชน จำนวน 7 ซอย มีจุดเสี่ยง จำนวน 3 จุด แยกเป็นจุดเสี่ยงในชุมชนที่สามารถแก้ไขได้โดยชุมชน 3 จุด คือ 1) ถนนทางเข้าหมู่บ้านเชื่อมจากหมู่ 4 บ้านเขาดิน ถึงสามแยกหนองสะแก ระยะทาง 2 กิโลเมตร มีลักษณะเส้นทางเป็นทางโค้งเสี่ยง 3 จุด ตลอดเส้นทางไม่มีสัญญาณไฟและป้ายแสดงบอกตลอดทาง 2) ถนนแยกหนองสะแกเชื่อมหมู่ 6 บ้านวังตามน มีลักษณะเส้นทางเป็นขอบถนนทรุด 3 จุด 3) แยกหนองสะแกเชื่อมหมู่ 3 บ้านวังพิกุล มีลักษณะเส้นทางเป็นจุดเสี่ยงทางโค้ง 1 จุด ไม่มีไฟแสงสว่าง แยกเป็นจุดเสี่ยงในชุมชนที่สามารถแก้ไขได้โดยชุมชน 2 จุด และจุดเสี่ยงในชุมชนที่ชุมชนไม่สามารถแก้ไขได้เองต้องทำร่วมหรือส่งต่อองค์การบริหารส่วนตำบลนาขุนไกร จำนวน 1 จุด คือแยกหนองสะแกเชื่อมหมู่ 6 บ้านวังตามน มีลักษณะเส้นทางเป็นขอบถนนทรุด 3 จุด
โดยประชาชน จำนวน 291 คน มีพฤติกรรมเสี่ยงที่สัมพันธ์กับจุดเสี่ยง เช่น 1)ขับรถความเร็วเกินกำหนด จำนวน 27 คน 2)เมาแล้วขับ จำนวน 5 คน 3)ไม่ปฏิบัติตามกฎจราจร ขับรถย้อนศร จำนวน 10 คน 4)ไม่คาดเข็มขัด ไม่สวมหมวกนิรภัย จำนวน 241 คน 5)พูด/เล่นโทรศัพท์ขณะขับรถ จำนวน 35 คน เป็นต้น
โดยสรุปผลกระทบจากปัญหาอุบัติเหตุในชุมชนนำไปสู่ปัญหาด้านต่าง ๆ โดยคนในชุมชนได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุบนท้องถนนมากขึ้น ทั้งจากสภาพถนนที่ทรุดโทรม สภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการจราจรบนถนนในชุมชนรวมถึงสภาพร่างกายที่มีความบกพร่องต่อการขับขี่และยานพาหนะที่ไม่ปลอดภัย
ทุนศักยภาพของชุมชน บ้านหนองสะแก หมู่ที่ 12 มีทุนเดิมทั้งกรรมการหมู่บ้าน ปราชญ์ชาวบ้าน ความรู้ วัฒนธรรม ภาคีเครือข่าย ทรัพยากรสิ่งแวดล้อม กองทุนชุมชน แกนนำ ฐานข้อมูลชุมชนต่างๆที่สำคัญ เช่น ทุนทางสังคม ช่วยเหลือเกื้อกูล ขนบธรรมเนียมประเพณี ภูมิปัญญาที่ดี ทุนทางการศึกษา มีโรงเรียนขุนไกรพิทยาคมเป็นโรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดเล็กประจำตำบล ที่เป็นศูนย์การเรียนรู้ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ด้านการศึกษา ทุนทางเศรษฐกิจ มีการออมเงินกับกลุ่มชุมชน มีการรวมตัวจัดตั้งกลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงวัว มีตลาดค้าขายวัวประจำตำบลและพื้นที่มีต้นไม้กวาดจำนวนมาก เกิดการจัดตั้งวิสาหกิจชุมชน กลุ่มไม้กวาดดอกหญ้า ทุนทางทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตำบลนาขุนไกรเป็นพื้นที่ราบและสลับเขา มีพื้นที่ที่เป็นเจ้าของเพียงพอต่อการประกอบอาชีพต่างๆ มีพื้นที่สาธารณะใช้ประโยชน์ มีป่าชุมชน มีคลองสาธารณะ และป่าชุมชน เขตพื้นที่อุทยาน เขตสงวนพันธ์สัตว์ป่า ทุนทางความมั่นคงและความสงบเรียบร้อย มีจิตอาสา มีการจัดตั้งแกนนำชุมชนในการดูแลและป้องกันและรักษาทรัพย์สินของประชาชน การอยู่เวรยามในการป้องกันอุบัติเหตุในช่วงเทศกาล การปฏิบัติหน้าที่เฝ้าระวังและป้องกันควบคุมโรคระบาดที่สำคัญ เช่น ไข้เลือดดอก โรคไวรัสโคโรน่า โควิด-19 เป็นต้น ทุนทางการบริหารจัดการ มีองค์การบริหารส่วนตำบลนาขุนไกรได้รับรางวัล อปท.ที่มีการบริหารจัดการที่ดี มีเครื่องมือในการจัดเก็บบันทึกข้อมูล และสนับสนุนการบริหารจัดการด้านต่างๆของหมู่บ้านเป็นอย่างดี และจากประสบการณ์ในการทำกิจกรรมด้วยกระบวนการมีส่วนร่วมของคนในชุมชนร่วมกับหน่วยงานต่างๆในตำบล อาทิ องค์การบริหารส่วนตำบลนาขุนไกร โรงเรียนขุนไกรพิทยาคม โรงเรียนบ้านเขาดินไพรวัลย์ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลนาขุนไกร ศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนตำบลนาขุนไกร เป็นต้น ทำให้ผู้นำชุมชนและแกนนำกลุ่มต่างๆเกิดเรียนรู้ร่วมกัน สามารถทำงานร่วมกันได้เป็นอย่างดี อาทิเช่น การทบทวนแผนชุมชนพึ่งตนเอง การสร้างการมีส่วนร่วมในชุมชน และการใช้เวทีประชุมร่วมกับภาคีเครือข่าย แลกเปลี่ยนประสบการณ์การดำเนินงานในแต่ละประเด็น เพื่อเสริมพลัง ชื่นชมผลงานที่บรรลุวัตถุประสงค์ ร่วมปรึกษา แนวทางแก้ไขปัญหา เพื่อนำไปสู่การประเมินผลสำเร็จในข้อมูลเชิงประจักษ์
2.การก่อตัวของกลไกพี่เลี้ยง รพ.สต./อปท.
1) จำนวนพีเลี้ยงใน รพ.สต. การจัดโครงสร้างทีมพี่เลี้ยง ชุมชนบ้านหนองสะแก ขับเคลื่อนโครงการภายใต้ประเด็นการจัดการจุดเสี่ยงและพฤติกรรมเสี่ยงเพื่อป้องกันอุบัติเหตุทางถนนในชุมชน โดยมีพี่เลี้ยง จำนวนทั้งหมด 8 คน ร่วมเป็นที่ปรึกษาขับเคลื่อนโครงการ แบ่งออกเป็น 1) สภาผู้นำชุมชนเดิม หรือ Super Coach จากบ้านวังขอนงุ้น คือนายสมประสงค์ ยาใจ และมีสภาผู้นำชุมชนใหม่ หรือ Super Coach จำนวน 2 คน คือ นางสาวณัฐนิชา จั่นจีน รองนายกองค์การบริหารส่วนตำบลนาขุนไกรและ นายศุภกร ปาอาภร ประธานอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านนาขุนไกร 2) พี่เลี้ยงจากโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลนาขุนไกร คือ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลนาขุนไกร นายพิชญ์ทิภัทร รัตนจันทร์กุล (นักวิชาการสาธารณสุขชำนาญการ) รับผิดชอบเป็นหัวหน้าทีมพี่เลี้ยง และมีพี่เลี้ยงเครือข่ายสาธารณสุข ได้แก่ นางสาววราภรณ์ ไชยชะนะ (นักวิชาการสาธารณสุขชำนาญการ) ผู้อำนวยการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลสะท้อ สำนักงานสาธารณสุขอำเภอศรีสัชนาลัย รับผิดชอบดูแลเป็นพี่เลี้ยงที่ปรึกษาหลัก และมีพี่เลี้ยงใหม่ คอยหนุนเสริมการทำงานต่อเนื่อง จำนวน 3 คน คือ นักวิชาการสาธารณสุข สำนักงานสาธารณสุขอำเภอศรีสำโรง จำนวน 2 คน และนักวิชาการสาธารณสุข องค์การบริหารส่วนตำบลนาขุนไกร จำนวน 1 คน
โดยการจัดโครงสร้างทีมพี่เลี้ยง และการบริหารจัดการภายในทีม ให้เกิดความคล่องตัว เกิดรูปธรรมในการหนุนเสริมสภาผู้นำชุมชนได้นั้น จำเป็นต้องมีพี่เลี้ยง รพ.สต.ในพื้นที่เป็นพี่เลี้ยงหลัก ในการหนุนเสริมการทำงานที่ต่อเนื่อง ซึ่งบ้านหนองสะแก หมู่ที่ 12 มีพี่เลี้ยงโมเดล รพ.สต.หลัก คือ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลนาขุนไกร นายพิชญ์ทิภัทร รัตนจันทร์กุล (นักวิชาการสาธารณสุขชำนาญการ) และมีนางสาววราภรณ์ ไชยชะนะ (นักวิชาการสาธารณสุขชำนาญการ) ผู้อำนวยการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลสะท้อ สำนักงานสาธารณสุขอำเภอศรีสัชนาลัย รับผิดชอบดูแลเป็นพี่เลี้ยงที่ปรึกษาหลัก แต่ก็พบว่า พี่เลี้ยงที่ปรึกษาหลักไม่ใช่เจ้าหน้าที่ รพ.สต.ในพื้นที่ ทำให้การประสานงาน การลงพื้นที่ติดตามเยี่ยมชุมชน หนุนเสริมการทำงานได้ไม่เต็มที่ ดังนั้นสภาผู้นำชุมชนจึงเป็นผู้ตัดสินใจและดำเนินงานต่างๆในชุมชนกันเองเป็นส่วนใหญ่ แต่ยังต้องการพี่เลี้ยงช่วยให้ข้อเสนอแนะในบางประเด็นเท่านั้น
2) สมรรถนะพี่เลี้ยงใน รพ.สต. พบว่า อยู่ในขั้นที่ 3 พี่เลี้ยง รพ.สต. สามารถขับเคลื่อนงานร่วมกันระหว่าง รพ.สต. ชุมชน และภาคีได้ โดยพี่เลี้ยงหลักคือ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลนาขุนไกร สามารถหนุนเสริมให้ทีมสภาผู้นำชุมชนบ้านหนองสะแก ร่วมเป็นคณะอนุกรรมการกองทุนหลักประกันสุขภาพตำบล อบต.นาขุนไกร และร่วมเป็นคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับตำบล (พชต.) ตำบลนาขุนไกรได้ สามารถหนุนเสริมชุมชนในการจัดทำแผนงานโครงการหรือกิจกรรมเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาสุขภาพอย่างน้อย 1 ประเด็น โดยใช้กลไกการมีส่วนร่วมจัดทำแผนงานโครงการ ระหว่างทีมสภาผู้นำชุมชน และรพ.สต. ที่สอดคล้องกับแผนปฏิบัติการด้านสาธารณสุขของ รพ.สต. บรรจุอยู่ในแผนชุมชนพึ่งตนเองของหมู่บ้านได้ ครอบคลุมทุกด้าน ทุกประเด็น (ทำเอง ทำร่วม ทำขอ)
พบว่า การสร้างทีมพี่เลี้ยงที่มีสมรรถนะได้นั้น จำเป็นต้องเปิดใจพร้อมเรียนรู้สิ่งใหม่ และต้องมีความรู้ ความเข้าใจ เรื่องแนวคิดชุมชนน่าอยู่และกลไกสภาผู้นำชุมชน และมีพื้นฐานความรู้ความเข้าใจระบบการบริการด้านสุขภาพและงานสร้างเสริมสุขภาพแบบมีส่วนร่วม และเชื่อมโยงสู่แผนสุขภาพตำบล และที่สำคัญต้องมีใจเป็นหนึ่งเดียวกับชุมชน ยึดชุมชนเป็นศูนย์กลาง และรับรู้อุปสรรค รับประโยชน์ที่ได้รับร่วมกันทั้งสองฝ่าย
3.กลไกพี่เลี้ยง รพ.สต./อปท.
1) การกำหนดการกิจของทีมพี่เลี้ยง ทั้งในการเป็นผู้พัฒนาชุมชน และภารกิจของหน่วยงาน โดยผู้อำนวยการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลนาขุนไกรและสภาผู้นำชุมชนบ้านหนองสะแก ร่วมกันกำหนดภารกิจของการดำเนินการประเด็นหลักร่วมกันคือ การแก้ไขปัญหาพฤติกรรมเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการจัดการจุดเสี่ยงของประชาชนในพื้นที่ และขับเคลื่อนการดำเนินงานป้องกันการบาดเจ็บทางถนนระดับตำบลนาขุนไกร D- RTI จึงมีการกำหนดภารกิจหลักแก่ทีมพี่เลี้ยงในการหนุนเสริมชุมชน และร่วมพัฒนาชุมชนเพื่อให้สอดคล้องกับผลลัพธ์เชิงประเด็นของชุมชนและตัวชี้วัดของหน่วยงาน คือ ความรุนแรงในการเกิดอุบัติเหตุ (บาดเจ็บ พิการ เสียชีวิต) ณ จุดเสี่ยงที่ได้รับการแก้ไขลดลง โดยอัตราการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนไม่เกิน 23.2 ต่อประชากรแสนคน ภายใต้การขับเคลื่อนการป้องกันการบาดเจ็บทางถนน RTI โครงการพัฒนาระบบสุขภาพปฐมภูมิและเครือข่ายสุขภาพระดับอำเภอ สนับสนุนการขับเคลื่อนการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับตำบล (พชต.) อำเภอศรีสำโรง จังหวัดสุโขทัย
ทั้งนี้ เงื่อนไขสำคัญที่ทำให้การกำหนดการกิจของทีมพี่เลี้ยง ทั้งในการเป็นผู้พัฒนาชุมชน และภารกิจของหน่วยงาน ได้รับการยอมรับของทุกฝ่าย จำเป็นต้องรับรู้และเข้าใจตัวชี้วัดร่วม หรือเป้าหมายร่วมที่ทั้ง 2 ฝ่ายได้ประโยชน์ ซึ่งภารกิจในครั้งนี้ตอบโจทย์ในภาพรวมของตำบลนาขุนไกร ซึ่งตำบลนาขุนไกร ได้รับการคัดเลือกเป็นตัวแทนรับการประเมินมาตรฐานการขับเคลื่อนการป้องกันการบาดเจ็บทางถนน RTI ประจำปี 2565 จากสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสุโขทัย จึงทำให้สภาผู้นำชุมชนบ้านหนองสะแก โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลทั้ง 3 แห่งคือ รพ.สต.นาขุนไกร รพ.สสต.บ้านวังพิกุล และรพ.สต.บ้านลุเต่า โรงเรียนทุกแห่งในตำบล ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยตำบลนาขุนไกร และองค์การบริหารส่วนตำบลนาขุนไกร เห็นความสำคัญและร่วมกันจัดตั้งคณะทำงาน Core Team และมีการประชุมการขับเคลื่อน วางแผนการดำเนินงานแก้ไขปัญหาแบบมีส่วนร่วมของสหสาขา
2) การสื่อสารภายในทีมและหัวหน้าหน่วยงาน
ประเด็นที่จำเป็นต้องสื่อสารต่อเนื่อง ประกอบด้วย ความรู้ความเข้าใจการทำงานชุมชนน่าอยู่ (โมเดล รพ.สต.) อาทิเช่น เรื่องแนวคิดชุมชนน่าอยู่และกลไกสภาผู้นำชุมชน การจัดทำแผนชุมชนพึ่งตนเอง การประเมินผลเพื่อการเรียนรู้และพัฒนา (ARE) และระบบการบริการด้านสุขภาพและงานสร้างเสริมสุขภาพแบบมีส่วนร่วม และเชื่อมโยงสู่แผนสุขภาพตำบล และออกแบบและเก็บข้อมูลสถานะสุขภาพของ รพ.สต. และข้อมูลเชิงประเด็นของทีมสภาผู้นำชุมชน รวมถึงการประสานการทำงานระหว่าง รพ.สต. สภาผู้นำชุมชนและหน่วยจัดการชุมชนน่าอยู่ภาคเหนือและภาคีในพื้นที่ตำบลนาขุนไกร
ทั้งนี้ เงื่อนไขสำคัญที่ทำให้การสื่อสารต่อเนื่อง เกิดประสิทธิผล นำไปสู่ความเข้าใจและทักษะได้นั้นจำเป็นต้อง มีการประชุมอย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง มีการหารือโครงการ สสส. และประเด็นอื่นๆในชุมชน และมีรายงานการประชุมทุกครั้ง และทุกคนสามารถเสนอความคิดเห็นในที่ประชุม มีช่องทางการสื่อสารที่พี่เลี้ยงเข้าถึงง่าย เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร ความก้าวหน้าในการทำงานทุกงานที่ชุมชนดำเนินการให้สมาชิกทีมพี่เลี้ยงรับทราบอย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง เพื่อช่วยกันวิเคราะห์จุด่อน จุดแข็งของชุมชน นำไปสู่การหนุนเสริมและแก้ไขปัญหาของชุมชนได้ทันเวลา ไม่มีความเสี่ยงระหว่างดำเนินงาน เช่น การจัดกิจกรรมตามกำหนดการ การเบิกจ่ายเงิน เอกสารการเงิน เอกสารสรุปความก้าวหน้า และการทำงานภายในทีมของสภาผู้นำชุมชน เป็นต้น
3) สภาผู้นำชุมชนเป็นผู้ตัดสินใจ และดำเนินงานต่างๆในชุมชนได้เองทั้งหมด โดยไม่ต้องพึ่งพาพี่เลี้ยง
วิธีการสื่อสารกับหัวหน้าหน่วยงานกรณีที่หัวหน้าไม่ได้เป็นพี่เลี้ยง
– รูปแบบการเรียนรู้ภายในทีม ใช้แนวทางการเรียนรู้จากการปฏิบัติจริงและมีส่วนร่วม โดยจำเป็นต้อง แผนในการหนุนเสริมการทำงานของทีมสภาผู้นำชุมชนด้วย จึงจะส่งผลต่อการเรียนรู้ภายในทีมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
– การสร้างการมีส่วนร่วมของทีมและการร่วมแก้ไขปัญหา ได้ดำเนินการโดย พี่เลี้ยง ต้องเข้าร่วมเข้าประชุมและร่วมกิจกรรมไม่น้อยกว่าร้อยละ 65 ของกิจกรรมในชุมชน และในการประชุมหรือร่วมกิจกรรม ผู้เข้าร่วมสามารถแสดงความคิดเห็น ร่วมตัดสินใจเรื่องการดำเนินงาน และเสนอแนะ พิจารณาปัญหาใหม่ๆ รวมทั้งมีการร่วมติดตามประเมินผลได้ทุกคน โดยจำเป็นต้องเปิดโอกาสให้พี่เลี้ยงและสมาชิกชุมชนเข้าประชุมและร่วมกิจกรรมไม่น้อย กว่าร้อยละ 65 และสมาชิกชุมชนทุกคน สามารถแสดงความคิดเห็นมากขึ้น หรือมีสมาชิกหน้าใหม่ร่วมแสดงความคิดเห็นมากขึ้น สมาชิกชุมชนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจมากขึ้น หรือมีสมาชิกหน้าใหม่ร่วมตัดสินใจ และสมาชิกชุมชนมีข้อเสนอแนะ หรือให้ทางเลือกใหม่ๆ ในการแก้ปัญหาชุมชนมากขึ้น และเพิ่มประสิทธิภาพการมีส่วนร่วมของทีมพี่เลี้ยงและสภาผู้นำชุมชน โดยเปิดโอกาสให้สมาชิกชุมชนมีส่วนร่วมในการติดตามประเมินผล หรือสามารถร่วมประเมินความสำเร็จของชุมชนได้ จึงจะส่งผลต่อการมีส่วนร่วมของทีมและการร่วมแก้ไขปัญหาทั้งในส่วนของทีมงานและต่อกลไกสภาผู้นำชุมชนในแต่ละหมู่บ้านได้
4.การบริหารจัดการเป้าหมายร่วมของพื้นที่
1) การกำหนดเป้าหมายร่วมกันระหว่าง รพ.สต.นาขุนไกร องค์การบริหารส่วนตำบลนาขุนไกร และสภาผู้นำชุมขน ได้มีการกำหนดเป้าหมายร่วมกัน คือ ตัวชี้วัดร่วมในคก การมีส่วนร่วมของชุมชนในการจัดการจุดเสี่ยงและพฤติกรรมเสี่ยง ลดอุบัติเหตุทางถนนในชุมชน โดยมีตัวชี้วัดร่วมกันคือ 1) จำนวนของการเกิดอุบัติเหตุ ณ.จุดเสี่ยงที่ได้รับการแก้ไขลดลง อย่างน้อยร้อยละ 80 (11 ครั้งจาก 14 ครั้ง) 2) ความรุนแรงในการเกิดอุบัติเหตุ (บาดเจ็บ พิการ เสียชีวิต) ณ.จุดเสี่ยงที่ได้รับการแก้ไขลดลง โดยอัตราการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนไม่เกิน 23.2 ต่อประชากรแสนคน โดยการกำหนดเป้าหมายร่วมกันให้เกิดการยอมรับ นำไปสู่การบรรลุเป้าหมายได้จริง จำเป็นต้อง ใช้ข้อมูลชุดเดียวกันและมีการกำหนดข้อตกลงร่วมกัน
2) การวางแผนการดำเนินงานร่วมกันระหว่าง รพ.สต.นาขุนไกร และสภาผู้นำชุมขนจากเป้าหมายร่วมที่กำหนดด้วยการรวบรวมข้อมูลอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นในชุมชนในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา โดยขอข้อมูลจากโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) สถานีตำรวจในพื้นที่ มาประมวลผล จัดเวทีประชาคมทำความเข้าใจโครงการร่วมกับสมาชิกชุมชนรวมถึงการคืนข้อมูลอุบัติเหตุทางถนนในชุมชนที่เกิดขึ้นให้แก่สมาชิกชุมชน ทั้งนี้ จะต้องร่วมกันวิเคราะห์จุดเสี่ยงค้นหาปัจจัยที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุ เพื่อทำแผนการปรับปรุงจุดเสี่ยง โดยร่วมกันออกความคิดเห็น เพื่อทำความเข้าใจร่วมกันถึงลักษณะของอุบัติเหตุบริเวณจุดเสี่ยงอันตราย และร่วมกันคัดเลือกและจัดลำดับจุดเสี่ยงที่ต้องการทำการปรับปรุงแก้ไขก่อน-หลัง และกำหนดข้อตกลงร่วมของชุมชนในการแก้ไขจุดเสี่ยงและพฤติกรรมที่สัมพันธ์กับจุดเสี่ยงที่ชุมชนจะแก้ไข จึงจะเกิดการยอมรับ จัดแบ่งหน้าที่และ นำไปสู่การปฏิบัติได้จริง
3) การดำเนินงานและการจัดการทรัพยากรร่วมกันระหว่าง รพ.สต.นาขุนไกร และสภาผู้นำชุมขน จากแผนการดำเนินร่วมที่กำหนด โดยที่ผ่านมาได้จัดการทรัพยากร คือ การแบ่งปันข้อมูลร่วมกัน ด้วยการเก็บ รวบรวมข้อมูลและบันทึกผลในชุดข้อมูลแหล่งเดียวกัน เพื่อป้องกันการซ้ำซ้อนของข้อมูล หรือป้องกันการคลาดเคลื่อนของข้อมูลนั้นๆ โดยมีสิ่งที่ขาดไม่ได้หรือต้องมีเงื่อนไข คือ การออกแบบการเก็บข้อมูลชุดเดียวกัน หรือ ใช้แบบฟอร์มเดียวกัน
4) การติดตามและประเมินผลร่วมกันระหว่าง รพ.สต.นาขุนไกร และสภาผู้นำชุมขนเพื่อให้บรรลุเป้าหมายร่วมที่กำหนดร่วมกัน ด้วยการ ร่วมประชุมประจำเดือนของสภาผู้นำชุมชน หรือของหมู่บ้านหรือของ รพ.สต. โดยมีขั้นตอนสำคัญ คือ 1) สรุปข้อมูลเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพที่สอดคล้องกับตัวชี้วัดในผลลัพธ์ประเด็นนั้นๆ 2) สะท้อนผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริงตามระยะเวลาที่ดำเนินโครงการ 3) เปรียบผลลัพธ์ที่ได้ว่าบรรลุเป้าหมายร่วมที่กำหนดไว้หรือไม่ 4) แลกเปลี่ยนเรียนรู้สิ่งดีๆที่เกิดขึ้น และร่วมเสนอแนะแนวทางการพัฒนาให้ดีขึ้นหรือแนวทางปรับปรุงให้บรรลุเป้าหมายร่วมที่กำหนดไว้ ทั้งนี้ ทุกครั้งจำเป็นต้องมีหรือต้องใช้ ข้อมูลจริงที่เก็บรวบรวมได้มาอ้างอิงและใช้จริงเป็นรูปธรรม จึงจะเกิดประโยชน์จากรูปแบบของการติดตามและประเมินผลร่วมกันระหว่างรพ.สต. และสภาผู้นำชุมขน
5.ผลลัพธ์การเปลี่ยนแปลงของชุมชน
1) ผลลัพธ์สมรรถนะสำคัญและการปรับเปลี่ยนวิธีทำงานของพี่เลี้ยง บันไดสมรรถนะ โดยเกิดผลลัพธ์ในระยะกลางของวิธีทำงานของพี่เลี้ยง คือ พี่เลี้ยง รพ.สต. มีทักษะในการหนุนเสริมการทำงานของสภาผู้นำชุมชนได้อย่างต่อเนื่องและสามารถขับเคลื่อนงานระหว่าง รพ.สต. อปท.และภาคีในชุมชนได้ ผ่านการถ่ายทอดแนวคิดชุมชนน่าอยู่และหนุนเสริมชุมชนให้เกิดกลไกสภาผู้นำชุมชน สนับสนุนกระบวนการจัดทำแผนชุมชนพึ่งตนเอง ร่วมออกแบบระบบการบริการด้านสุขภาพ และงานสร้างเสริมสุขภาพแบบมีส่วนร่วม และเชื่อมโยงสู่แผนสุขภาพตำบล หนุนเสริมทีมสภาผู้นำชุมชนร่วมเป็นคณะอนุกรรมการกองทุนหลักประกันสุขภาพตำบล หรือคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับตำบล (พชต.) มีการจัดทำแผนงานโครงการหรือกิจกรรมเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาสุขภาพอย่างน้อย 1 ประเด็น โดยใช้กลไกการมีส่วนร่วมจัดทำแผนงานโครงการ ระหว่างทีมสภาผู้นำชุมชน และ รพ.สต. ที่สอดคล้องกับแผนปฏิบัติการด้านสาธารณสุขของ รพ.สต. บรรจุอยู่ในแผนชุมชนพึ่งตนเอง โดยต้องมีหรือต้องใช้ แนวคิดสาธารณสุขมูลฐานกับการพัฒนาระบบบริการปฐมภูมิ (นโยบาย 3 หมอ) มาประยุกต์ร่วมด้วยจึงจะเกิดสมรรถนะได้ตามที่คาดหวัง ให้สอดคล้องกับบันไดผลลัพธ์ของโมเดล รพ.สต.
2) ผลลัพธ์สมรรถนะของกลไกสภาผู้นำชุมชน วัตถุประสงค์ 1 โดยเกิดผลลัพธ์ในระยะกลางของวิธีทำงานของสภาผู้นำชุมชน คือ สภาผู้นำชุมชนมีสมรรถนะในการเสริมพลังชุมชนและขับเคลื่อนงานตามแผนชุมชนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในชุมชนได้ โดยต้องมีหรือต้องใช้ เป้าหมายและข้อตกลงร่วมกัน ผ่านการประชุมอย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง มีการหารือโครงการ สสส. และประเด็นอื่นๆในชุมชน และมีรายงานการประชุมทุกครั้ง โดยมีผู้เข้าร่วมประชุมไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของจำนวนสมาชิกสภาผู้นำชุมชน ทุกคนสามารถเสนอความคิดเห็นในที่ประชุมได้ สภาผู้นำชุมชนเป็นผู้ตัดสินใจ และดำเนินงานต่างๆในชุมชนได้เองทั้งหมด โดยไม่ต้องพึ่งพาพี่เลี้ยง สภาผู้นำชุมชนสามารถดำเนินงานได้ตามบทบาทหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย มีการติดตามประเมินผลการดำเนินงานและคืนข้อมูลให้แก่ชุมชน และมีการปรับปรุงการดำเนินงานให้เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนด สภาผู้นำชุมชนมีการบริหารจัดการงบประมาณโครงการ สสส. และโครงการอื่นของชุมชน ด้วยความโปร่งใส จัดทำบัญชีรับจ่ายและแจ้งข้อมูลให้สมาชิกในชุมชนทราบทุกเดือน สภาผู้นำชุมชนสื่อสารข้อมูลข่าวสารความก้าวหน้าในการทำงานทุกงานที่ชุมชนดำเนินการให้สมาชิกชุมชนรับทราบอย่างน้อยเดือนละครั้ง จึงจะเกิดสภาที่มีสมรรถนะได้ตามที่คาดหวัง ที่สอดคล้องกับบันไดผลลัพธ์และ ความเข้มแข็ง 9 มิติได้
3) ผลลัพธ์การเปลี่ยนแปลงของประเด็นสุขภาพที่ดำเนินการร่วมกัน คือ การจัดการจุดเสี่ยงและพฤติกรรมเสี่ยง เพื่อป้องกันอุบัติเหตุทางถนนในชุมชน โดยเกิดผลลัพธ์ในระยะกลาง โดยประชาชนกลุ่มเป้าหมายร้อยละ 100 จำนวน 101 ครัวเรือน รับรู้สถานการณ์อุบัติเหตุและมีความรู้ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเสี่ยงที่สัมพันธ์กับจุดเสี่ยงในชุมชนตนเองผ่านการประชุมประจำเดือน เอกสารความรู้ การติดตามเยี่ยมบ้านของทีมสภาผู้นำชุมชน และเกิดข้อตกลงร่วมในการแก้ไขจุดเสี่ยงและพฤติกรรมที่สัมพันธ์กับจุดเสี่ยงที่ชุมชนจะแก้ไข จำนวน 5 ข้อ ได้แก่ 1) สวมหมวกกันน็อค 100% ในวันประชุมและผู้ปกครองรับส่งเด็กนักเรียน 2) ห้ามดัดแปลงแต่งรถเสียงดัง 3) ห้ามตากพืชผลทางการเกษตรบนถนนและทำสัญลักษณ์เตือนเช่นปักธงติดป้ายติดไฟอย่างน้อย 50 เมตรกรณีสูบน้ำข้ามถนน 4) เมาไม่ขับหากตรวจพบขอให้ขอให้บำเพ็ญประโยชน์ในชุมชน 5) ให้ล้อมรั้วลวดเลี้ยงวัวห่างถนนอย่างน้อย 1 เมตร นอกจากนี้จุดเสี่ยงการเกิดอุบัติเหตุทางถนนที่ได้รับการปรับปรุงแก้ไข ร้อยละ 83.3 ของจุดเสี่ยงประเภทที่ชุมชนแก้ไขได้เอง จำนวน 5 จุด จากทั้งหมด จำนวน 6 จุด และจุดเสี่ยงในชุมชนที่ได้รับการแก้ไขโดยการทำร่วมหรือส่งต่อข้อมูล จำนวน 4 จุด ร้อยละ 100 โดยองค์การบริหารส่วนตำบลนาขุนไกรดำเนินการปรับปรุงแก้ไข คือถนนเส้นหลักของหมู่บ้าน มีการลาดยางใหม่คนในชุมชนร้อยละ 83.8 จำนวน 274 คน มีพฤติกรรมเสี่ยงที่สัมพันธ์กับจุดเสี่ยงลดลง ซึ่งพบผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยงเมาแล้วขับ 3 คน ขับรถเร็ว ไม่ปฏิบัติตามกฎจราจร 15 คน ขับรถย้อนศร 0 คน ไม่สวมหมวกนิรภัย 25 คน พูด/เล่นโทรศัพท์ขณะขับรถ 10 คน ไม่พบการเกิดอุบัติเหตุ ณ.จุดเสี่ยงที่ได้รับการแก้ไข โดยต้องมีหรือต้อง ใช้ข้อมูลชุดเดียวกันและมีการกำหนดข้อตกลงร่วมกัน จึงจะเกิดผลลัพธ์ได้ตามที่กำหนดไว้ในวัตถุประสงค์และตัวชี้วัดของโครงการระดับชุมชน
หมายเหตุ***ภาพกิจกรรมการดำเนินงานของสภาผู้นำชุมชนบ้านหนองสะแก
(ตัวอย่าง)
บทเรียน การดำเนินงานบ้าน………………………………………………………
โมเดล รพ.สต. พื้นที่ตำบล AAAAAAAA
โดย…………………………………….
ทีมสนับสนุนวิชาการ หน่วยจัดการชุมชนน่าอยู่ภาคเหนือ
- บริบท……………………………………………..
1) การหนุนเสริมของหน่วยจัดการต่อพี่เลี้ยง รพ.สต. ให้มีสมรรถนะในการดำเนินงาน ?
ทั้งนี้ จำเป็นต้องหรือมีเงื่อนไขสำคัญ ..หน่วยจัดการภาค(อิสาน) มีคณะทำงานหรือที่เขาเรียก Admin ต้องเป็น coaching ของพี่เลี้ยง รพ.สต. (ช่วยสร้างความเข้าใจ เปลี่ยน mind set การใช้ข้อมูล วิธีการทำงาน ลงพื้นที่ร่วม ทำให้ดู สอนหน้างาน ช่วยวิเคราะห์ช่องว่าง การประชุมบ่อยๆ)
2) การดำเนินงานของกลไกการดำเนินงานพี่เลี้ยง รพ.สต. ในการหนุนเสริมกลไกสภาผู้นำชุมชน ?
พื้นที่ รพ.สต.รับผิดชอบทั้งหมด 8 หมู่บ้าน มี จนท.รพ.สต.4 คน เป็นบทบาทพี่เลี้ยงโมเดล รพ.สต.3 คน โดย ผอ. รพ.สต. รับดูแล 5 บ้าน เจ้าหน้าที่ คนที่ 2 ดูแล 2 บ้าน เจ้าหน้าที่ คนที่ 3 ดูแล 1 บ้าน โดย บทบาทหนุนเสริมข้อมูลด้านสุขภาพ ข้อมูลวิชาการ ประสานการทำงานร่วมของแต่ละบ้าน สนับสนุนการแก้ไขปัญหาของแต่ละบ้าน พัฒนาการก่อตัวของสภา
ทั้งนี้ จำเป็นต้องหรือมีเงื่อนไขสำคัญ ..
-พี่เลี้ยง รพ.สต.ต้องเป็นคนในพื้นที่ในเขตบริการ มีประสบการณ์ทำงานร่วมกับ สสส. มาก่อน ประมาณ 8 ปี (2557)
3) เงื่อนไขและปัจจัยความสำเร็จและไม่สำเร็จในแต่ละช่วง ของการดำเนินงานชุมชนน่าอยู่โมเดล รพ.สต. ในพื้นที่ตำบล
ทั้งนี้ จำเป็นต้องหรือมีเงื่อนไขสำคัญ ..ด้วยกลยุทธ์อย่างไร/ด้วยเงื่อนไข/เทคนิค/ลำดับก่อนหลัง/ช่วงเวลา/ครั้งหรือความถี่
จุดเด่นของการดำเนินงานตามเป้าหมายของพื้นที่ ที่ควรส่งเสริมต่อเนื่อง และประเด็นที่ยังต้องปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้น จะต้องปรับปรุงอย่างไรจึงจะบรรลุเป้าหมายความสำเร็จ ภายใต้การดำเนินงานคามโมเดล รพ.สต.ในพื้นที่ตำบล?
ทั้งนี้ จำเป็นต้องหรือมีเงื่อนไขสำคัญ ..
-ผอ.รพ.สต.ต้องเป็นแกนนำทีมพี่เลี้ยง รพ.สต. และมีการแบ่งพื้นที่รับผิดชอบชัดเจน และร่วมเป็นสภาผู้นำชุมชนมาก่อน
-รพ.สต.มีการใช้ข้อมูลในการวิเคราะห์ปัญหา ยืนยันความถูกต้องตั้งแต่ระดับครัวเรือน นำข้อมูลมาสะท้อนร่วมกัน เช่น การคัดแยกขยะ ผ่านการส่งทางไลน์ว่าเป็นใคร ที่ไหน แยก ไม่แยกขยะไปยังตัวบุคคล
-รพ.สต.มีการเชื่อมประสานงานร่วมกับ อปท. เช่น รถเขียว(ขนขยะ) เป็นผู้ชั่งของตำบลและรอยต่อหมู่บ้านที่ไม่มีเจ้าภาพ รถเขียวเป็นผู้ส่งข้อมูลแก่สภาฯแบบเรลไทม์ พร้อมภาพ
-ผอ.รพ.สต.และหมู่บ้านบางส่วน ต้องมีประสบการณ์ทำงานร่วมกับ สสส.มาก่อน และอยู่เขตบริการของ รพ.สต.
- แลกเปลี่ยนข้อมูลบทเรียนการดำเนินงานที่ได้จากการลงพื้นที่ มาเติมเต็มกับกระบวนการทำงาน และบทเรียนการดำเนินงานภายใต้โมเดล รพ.สต.ผ่านตัวอย่าง รพ.สต.ที่หน่วยจัดการภาคได้จัดทำไว้
1) ข้อเรียนรู้จากการลงพื้นที่ของแต่ละหน่วยจัดการ เพื่อนำไปปรับปรุงการทำงานในพื้นที่ของตนเอง?
1.ด้าน/การก่อตัว ได้เรียนรู้ว่า หากจะดำเนินการต่อ ต้องคัดเลือกพี่เลี้ยง รพ.สต.ต้องเป็น ผอ.รพ.สต.และทีมงานทุกคนที่สมัครใจร่วมกัน โดยมี ผอ.รพ.สต.เป็นคนในพื้นที่หรือมีแรงจูงใจร่วม(ค่าตอบแทน) พื้นที่ในเขตบริการต้องมีชุมชนที่เคยมีประสบการณ์โครงการชุมชนน่าอยู่และมีสภาฯที่เข้มแข็ง เป็นตัวอย่างได้. ( เช่น เทพคีรีมี 4 บ้าน จาก 8 บ้าน=ไม่น้อย 50 %) การก่อตัวของสภาผู้นำชุมชนมาจาก อสม.เป็นหลักและ อสม.ไปชักชวนกลุ่มอื่นๆ (ส่วนใหญ่ผู้นำเป็น อสม.ด้วย)
2.ด้าน/การเกิดสมรรถนะพี่เลี้ยง พี่เลี้ยงใหม่ต้องลงไปร่วมเรียนรู้จากการลงมือทำกับทีมงานหรือหัวหน้าพี่เลี้ยง(ผอ.รพ.สต.)
3.ด้าน/การกำหนดบทบาท/ภารกิจพี่เลี้ยง ได้เรียนรู้ว่า แบ่งหมู่บ้านในการหนุนเสริมการทำงาน ตามประสบการณ์ของพี่เลี้ยง
4.ด้าน./การสื่อสาร…………………………………………………………………………………………………..
5.ด้าน./การเรียนรู้ภายในทีม……………………………………………………………………………………….
6.ด้าน/การสร้างการมีส่วนร่วม ได้เรียนรู้ว่า พี่เลี้ยงให้โอกาสตัดสินใจแต่หากเชิงวิชาการพี่เลี้ยงให้คำปรึกษา ร่วมให้ข้อมูล คืนข้อมูล //ร่วมแก้ไขสภาด้วยกัน ไม่แบ่งหน้าที่เฉพาะแต่ช่วยกันแก้ปัญหา
7.ด้าน/การกำหนดเป้าหมายร่วม ระหว่างพี่เลี้ยง ที่ร่วมกับ ภาคี ได้เรียนรู้ว่า มีแผนปฏิบัติการ มีกำหนดเป้าหมายร่วมกัน//ออกแบบและวางแผนใช้ข้อมูลร่วมกับสภาในการลงมือปฏิบัติ
8.ด้าน/การวางแผนร่วมกันของพี่เลี้ยงกับสภาผู้นำชุมชน…………………………………………………….
9.ด้าน/การดำเนินการจัดการทรัพยากรร่วมของพี่เลี้ยงกับสภาผู้นำชุมชน…………………………………
10.ด้าน/การติดตามและประเมินผลร่วมของพี่เลี้ยงกับสภาผู้นำชุมชน ได้เรียนรู้ว่า ติดตามร่วมกันโดยใช้ข้อมูลจากสภา อสม.ในแต่ละคุ้ม
11.ด้านสมรรถนะสำคัญและการปรับเปลี่ยนวิธีการดำเนินงานของพี่เลี้ยง ได้เรียนรู้ว่า ยึดเป้าร่วมเป็นสิ่งสำคัญ คือสิ่งที่ต้องคนทำร่วมกัน เช่น จัดการขยะเป็นวาระแห่งชาติ เป็นประเด็นที่ชาวบ้านรับรู้
12.ด้านสมรรถนะสำคัญของสภาผู้นำชุมชน ได้เรียนรู้ว่า เก็บข้อมูลได้ คืนข้อมูลได้ วางแผนร่วมได้ แบ่งพื้นที่ดูแลชัดเจน บูรณาการกับงานของ รพ.สต.ได้ ผ่านเวทีประชุมสัญจรระดับตำบล
13.ด้านผลลัพธ์การเปลี่ยนแปลงสุขภาวะ ได้เรียนรู้ว่า กลุ่มเสี่ยงได้รับการคัดกรอง ทำตนเป็นแบบอย่างในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ชักชวนกลุ่มเสี่ยงเข้าร่วมปรับเปลี่ยนพฤติกรรม สร้างความตระหนักว่า ความเสี่ยง NCD ไม่ใช่เรื่องหมอ เป็นเรื่องของสภา