บทเรียนโครงการชุมชนน่าอยู่: โมเดล รพ.สต.นาขุนไกร พื้นที่บ้านวังตามน ม.6 จ.สุโขทัย

บทเรียนการดำเนินงานของกลไกการดำเนินงานโครงการชุมชนน่าอยู่ โมเดล รพ.สต. (รพ.สต.นาขุนไกร)

พื้นที่โครงการชุมชนน่าอยู่ หมู่บ้านวังตามน หมู่ที่ 6 ตำบลนาขุนไกร อำเภอศรีสำโรง จังหวัดสุโขทัย

โดย นายพิชญ์ทิภัทร รัตนจันทร์กุล

ทีมสนับสนุนวิชาการ หน่วยจัดการชุมชนน่าอยู่ภาคเหนือ

1.บริบทของพื้นที่

บ้านวังตามน หมู่ที่ 6 ตำบลนาขุนไกร อำเภอศรีสำโรง จังหวัดสุโขทัย  ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2487 โดยมีผู้เฒ่าคือนายพ้อย แม่สุ่ม ได้เข้ามาจับจองที่ดินทำกินเป็นของตนเอง และต่อมามีนายมนเข้ามาล่าสัตว์ในป่าดิบ ซึ่งได้กวาง 1 ตัว แล้วจึงนำไปทำอาหารกินที่ข้างหนองน้ำแห่งหนึ่ง เมื่อนายมนกินอิ่ม ได้นอนพัก ณ ที่แห่งนี้ พอตอนเช้าตื่นขึ้นมานายมนมีอาการเป็นไข้ ตัวร้อน หนาวสั่นมาก เรียกว่าป่วยด้วยโรคไข้ป่า เพราะเป็นป่าดงดิบ กว่านายมนจะเดินทางออกจากป่าได้ก็ต้องเป็นไข้หลายวัน ทำให้อาการทรุดแย่ลงและเสียชีวิตนอนตายอยู่ที่ป่าแห่งนี้ ชาวบ้านจึงเรียกที่นี่ว่า บ้านวังตามน ตั้งแต่นั้นมา และปัจจุบันมีนายฉลอง แก้วนาคผ่อง เป็นผู้ใหญ่บ้าน มีครัวเรือนทั้งสิ้น 174 หลังคาเรือน ประชากรทั้งหมด 531 คน แยกเป็น ชาย จำนวน 267 คน หญิง จำนวน 264 คน

ปัญหาก่อนดำเนินโครงการ จากการสำรวจปัจจัยกำหนดสุขภาพ และความไม่น่าอยู่ของชุมชนบ้านวังตามน  จำนวน 95 ครัวเรือน พบปัญหาความไม่น่าอยู่ที่เป็นมติเอกฉันท์ที่ทำให้คนในชุมชนคัดเลือกที่จะแก้ไขปัญหา ได้แก่ การจัดการจุดเสี่ยงและพฤติกรรมเสี่ยง เพื่อป้องกันอุบัติเหตุทางถนนในชุมชน

โดยชุมชนบ้านวังตามน มีจุดเสี่ยง จำนวน 4 แห่ง อาทิเช่น สี่แยกถนนทางหลวงเส้นหลัก จำนวน 1 จุด บริเวณหน้าโรงเรียนบ้านวังตามน 1 จุด และหน้าวัดถ้ำระฆัง 1 จุด และถนนสัญจรภายในชุมชน จำนวน 3 ซอย แยกเป็นจุดเสี่ยงในชุมชนที่สามารถแก้ไขได้โดยชุมชน 5 แห่ง จุดเสี่ยงในชุมชนที่ชุมชนไม่สามารถแก้ไขได้เองต้องทำร่วมหรือส่งต่อ 1 แห่ง ประชาชน จำนวน 243 คน มีพฤติกรรมเสี่ยงที่สัมพันธ์กับจุดเสี่ยง เช่น 1)ขับรถความเร็วเกินกำหนด จำนวน 11 คน 2)เมาแล้วขับ จำนวน 8 คน) 3)ขับรถย้อนศร จำนวน 9 คน 4)ไม่คาดเข็มขัด ไม่สวมหมวกนิรภัย จำนวน 188 คน 5)พูด/เล่นโทรศัพท์ขณะขับรถ จำนวน 27 คน เป็นต้น

วัดถ้ำระฆัง หรือ ถ้ำระฆัง ซึ่งเป็นถ้ำบนภูเขาทางธรรมชาติ ที่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญของหมู่บ้าน ทำให้มีผู้สัญจรและนักท่องเที่ยวจำนวนมากเดินทางผ่านเส้นทางนี้ อาทิเช่น กลุ่มคาราวานรถแต่ง กลุ่มคาราวานรถ Big Bike รถยนต์ เป็นต้น อีกทั้งถนนเส้นหลักยังเชื่อมต่อกับถนนทางหลวงชนบท หมายเลย 1056 ดอนโก-เขาดิน ทำให้มีรถพ่วง รถบรรทุกหิน สัญจรไปยังโรงโม่หินสุวรรณจำนวนมาก เฉลี่ย 50 เที่ยวต่อวัน โดยในรอบปีที่ผ่านมาเกิดอุบัติเหตุจากถนนเส้นหลักและถนนสัญจรภายในชุมชน คือ จำนวนอุบัติเหตุ 9 ครั้ง  ผู้ได้รับบาดเจ็บ 17 คน มีผู้เสียชีวิต 1 คน ไม่มีผู้พิการ

ข้อมูลปัญหาและสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุของชุมชนบ้านวังตามน มี 2 จุดที่สำคัญคือ 1) ถนนเส้นหลัก ทางหลวงชนบท หมายเลข 1327 และ 2) ถนนสัญจรภายในหมู่บ้านระยะทาง 5 กิโลเมตร

ผลกระทบจากปัญหาอุบัติเหตุในชุมชนนำไปสู่ปัญหาด้านต่าง ๆ โดยคนในชุมชนได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุบนท้องถนนมากขึ้น ทั้งจากสภาพถนนที่ทรุดโทรม สภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการจราจรบนถนนในชุมชนรวมถึงสภาพร่างกายที่มีความบกพร่องต่อการขับขี่และยานพาหนะที่ไม่ปลอดภัย

ทุนศักยภาพของชุมชน บ้านวังตามน หมู่ที่ 6 ตำบลนาขุนไกร มีพระครูโฆษิตบุญโญปถัมป์ เจ้าอาวาสวัดถ้ำระฆัง เป็นแหล่งรวมยึดเหนี่ยวจิตใจของคนในหมู่บ้าน ก่อเกิดความรัก ความศรัทธา ความสามัคคีให้เกิดขึ้นกับบ้านวังตามน นอกจากนี้ยังมีทุนเดิมทั้งกรรมการหมู่บ้าน ปราชญ์ชาวบ้าน ความรู้ วัฒนธรรม ภาคีเครือข่าย ทรัพยากรสิ่งแวดล้อม กองทุนชุมชน แกนนำ ฐานข้อมูลชุมชนต่างๆที่สำคัญ เช่น ทุนทางสังคม ช่วยเหลือเกื้อกูล ขนบธรรมเนียมประเพณี ภูมิปัญญาที่ดี  ทุนทางการศึกษา มีโรงเรียนขุนไกรพิทยาคมเป็นโรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดเล็กประจำตำบล ที่เป็นศูนย์การเรียนรู้ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ด้านการศึกษา และโรงเรียนบ้านวังตามน (น้อยประชาสรรค์) ที่มีจุดมุ่งหมายให้เด็กตำบลนาขุนไกรมีการพัฒนาทักษาการดำรงชีวิตอยู่อย่างพอเพียง พัฒนาผู้เรียนให้เป็นคนดี มีคุณธรรม จริยธรรม ดำรงตนในสังคมอย่างมีความสุข และที่สำคัญที่สุดคือ การสำนึกรักษ์และตอบแทนคุณบ้านเกิด ทุนทางเศรษฐกิจ มีการออมเงินกับกลุ่มชุมชน มีการรวมตัวจัดตั้งกลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงวัว มีตลาดค้าขายวัวประจำตำบลและพื้นที่มีต้นไม้กวาดจำนวนมาก เกิดการจัดตั้งวิสาหกิจชุมชน กลุ่มไม้กวาดดอกหญ้า ทุนทางทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตำบลนาขุนไกรเป็นพื้นที่ราบและสลับเขา มีพื้นที่ที่เป็นเจ้าของเพียงพอต่อการประกอบอาชีพต่างๆ มีพื้นที่สาธารณะใช้ประโยชน์ มีป่าชุมชน มีคลองสาธารณะ และป่าชุมชน เขตพื้นที่อุทยาน เขตสงวนพันธ์สัตว์ป่า ทุนทางความมั่นคงและความสงบเรียบร้อย มีจิตอาสา มีการจัดตั้งแกนนำชุมชนในการดูแลและป้องกันและรักษาทรัพย์สินของประชาชน การอยู่เวรยามในการป้องกันอุบัติเหตุในช่วงเทศกาล การปฏิบัติหน้าที่เฝ้าระวังและป้องกันควบคุมโรคระบาดที่สำคัญ เช่น ไข้เลือดดอก โรคไวรัสโคโรน่า โควิด-19 เป็นต้น ทุนทางการบริหารจัดการ มีองค์การบริหารส่วนตำบลนาขุนไกรได้รับรางวัล อปท.ที่มีการบริหารจัดการที่ดี มีเครื่องมือในการจัดเก็บบันทึกข้อมูล และสนับสนุนการบริหารจัดการด้านต่างๆของหมู่บ้านเป็นอย่างดี และจากประสบการณ์ในการทำกิจกรรมด้วยกระบวนการมีส่วนร่วมของคนในชุมชนร่วมกับหน่วยงานต่างๆในตำบล อาทิ องค์การบริหารส่วนตำบลนาขุนไกร โรงเรียนขุนไกรพิทยาคม โรงเรียนบ้านเขาดินไพรวัลย์ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลนาขุนไกร ศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนตำบลนาขุนไกร เป็นต้น ทำให้ผู้นำชุมชนและแกนนำกลุ่มต่างๆเกิดเรียนรู้ร่วมกัน สามารถทำงานร่วมกันได้เป็นอย่างดี อาทิเช่น การทบทวนแผนชุมชนพึ่งตนเอง การสร้างการมีส่วนร่วมในชุมชน และการใช้เวทีประชุมร่วมกับภาคีเครือข่าย แลกเปลี่ยนประสบการณ์การดำเนินงานในแต่ละประเด็น เพื่อเสริมพลัง ชื่นชมผลงานที่บรรลุวัตถุประสงค์ ร่วมปรึกษา แนวทางแก้ไขปัญหา เพื่อนำไปสู่การประเมินผลสำเร็จในข้อมูลเชิงประจักษ์

2.การก่อตัวของกลไกพี่เลี้ยง รพ.สต./อปท.

1) จำนวนพีเลี้ยงใน รพ.สต. การจัดโครงสร้างทีมพี่เลี้ยง ชุมชนบ้านวังตามน ขับเคลื่อนโครงการภายใต้ประเด็นการจัดการจุดเสี่ยงและพฤติกรรมเสี่ยงเพื่อป้องกันอุบัติเหตุทางถนนในชุมชน โดยมีพี่เลี้ยง จำนวนทั้งหมด 8 คน ร่วมเป็นที่ปรึกษาขับเคลื่อนโครงการ แบ่งออกเป็น 1) สภาผู้นำชุมชนเดิม หรือ Super Coach จากบ้านวังขอนงุ้น คือนายสมประสงค์ ยาใจ และมีสภาผู้นำชุมชนใหม่ หรือ Super Coach จำนวน 2 คน คือ นางสาวณัฐนิชา  จั่นจีน รองนายกองค์การบริหารส่วนตำบลนาขุนไกรและ นายศุภกร  ปาอาภร ประธานอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านนาขุนไกร 2) พี่เลี้ยงจากโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลนาขุนไกร คือ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลนาขุนไกร นายพิชญ์ทิภัทร รัตนจันทร์กุล (นักวิชาการสาธารณสุขชำนาญการ) รับผิดชอบเป็นหัวหน้าทีมพี่เลี้ยง และมีพี่เลี้ยงเครือข่ายสาธารณสุข ได้แก่ นางสาวธีร์วราภัทร ทิมทอง นักวิชาการสาธารณสุข สำนักงานสาธารณสุขอำเภอทุ่งเสลี่ยม รับผิดชอบดูแลเป็นพี่เลี้ยงที่ปรึกษาหลัก และมีพี่เลี้ยงใหม่ คอยหนุนเสริมการทำงานต่อเนื่อง จำนวน 3 คน คือ นักวิชาการสาธารณสุข สำนักงานสาธารณสุขอำเภอศรีสำโรง จำนวน 2 คน และนักวิชาการสาธารณสุข องค์การบริหารส่วนตำบลนาขุนไกร จำนวน 1 คน

โดยการจัดโครงสร้างทีมพี่เลี้ยง และการบริหารจัดการภายในทีม ให้เกิดความคล่องตัว เกิดรูปธรรมในการหนุนเสริมสภาผู้นำชุมชนได้นั้น จำเป็นต้องมีพี่เลี้ยง รพ.สต.ในพื้นที่เป็นพี่เลี้ยงหลัก ในการหนุนเสริมการทำงานที่ต่อเนื่อง ซึ่งบ้านวังตามน หมู่ที่ 10 มีพี่เลี้ยงโมเดล รพ.สต.หลัก คือ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลนาขุนไกร นายพิชญ์ทิภัทร รัตนจันทร์กุล (นักวิชาการสาธารณสุขชำนาญการ) และมีนางสาวธีร์วราภัทร ทิมทอง นักวิชาการสาธารณสุข สำนักงานสาธารณสุขอำเภอทุ่งเสลี่ยม รับผิดชอบดูแลเป็นพี่เลี้ยงที่ปรึกษาหลัก แต่ก็พบว่า พี่เลี้ยงที่ปรึกษาหลักไม่ใช่เจ้าหน้าที่ รพ.สต.ในพื้นที่ ทำให้การประสานงาน การลงพื้นที่ติดตามเยี่ยมชุมชน หนุนเสริมการทำงานได้ไม่เต็มที่ ดังนั้นสภาผู้นำชุมชนจึงเป็นผู้ตัดสินใจและดำเนินงานต่างๆในชุมชนกันเองเป็นส่วนใหญ่ แต่ยังต้องการพี่เลี้ยงช่วยให้ข้อเสนอแนะในบางประเด็นเท่านั้น

2) สมรรถนะพี่เลี้ยงใน รพ.สต. พบว่า อยู่ในขั้นที่ 3 พี่เลี้ยง รพ.สต. สามารถขับเคลื่อนงานร่วมกันระหว่าง รพ.สต. ชุมชน และภาคีได้ โดยพี่เลี้ยงหลักคือ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลนาขุนไกร สามารถหนุนเสริมให้ทีมสภาผู้นำชุมชนบ้านวังตามน ร่วมเป็นคณะอนุกรรมการกองทุนหลักประกันสุขภาพตำบล อบต.นาขุนไกร และร่วมเป็นคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับตำบล (พชต.) ตำบลนาขุนไกรได้  สามารถหนุนเสริมชุมชนในการจัดทำแผนงานโครงการหรือกิจกรรมเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาสุขภาพอย่างน้อย 1 ประเด็น โดยใช้กลไกการมีส่วนร่วมจัดทำแผนงานโครงการ ระหว่างทีมสภาผู้นำชุมชน และรพ.สต. ที่สอดคล้องกับแผนปฏิบัติการด้านสาธารณสุขของ รพ.สต. บรรจุอยู่ในแผนชุมชนพึ่งตนเองของหมู่บ้านได้ ครอบคลุมทุกด้าน ทุกประเด็น (ทำเอง ทำร่วม ทำขอ)

พบว่า การสร้างทีมพี่เลี้ยงที่มีสมรรถนะได้นั้น จำเป็นต้องเปิดใจพร้อมเรียนรู้สิ่งใหม่ และต้องมีความรู้ ความเข้าใจ เรื่องแนวคิดชุมชนน่าอยู่และกลไกสภาผู้นำชุมชน และมีพื้นฐานความรู้ความเข้าใจระบบการบริการด้านสุขภาพและงานสร้างเสริมสุขภาพแบบมีส่วนร่วม และเชื่อมโยงสู่แผนสุขภาพตำบล และที่สำคัญต้องมีใจเป็นหนึ่งเดียวกับชุมชน ยึดชุมชนเป็นศูนย์กลาง และรับรู้อุปสรรค รับประโยชน์ที่ได้รับร่วมกันทั้งสองฝ่าย

3.กลไกพี่เลี้ยง รพ.สต./อปท.

1) การกำหนดการกิจของทีมพี่เลี้ยง ทั้งในการเป็นผู้พัฒนาชุมชน และภารกิจของหน่วยงาน โดยผู้อำนวยการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลนาขุนไกรและสภาผู้นำชุมชนบ้านวังตามน ร่วมกันกำหนดภารกิจของการดำเนินการประเด็นหลักร่วมกันคือ การแก้ไขปัญหาพฤติกรรมเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการจัดการจุดเสี่ยงของประชาชนในพื้นที่ และขับเคลื่อนการดำเนินงานป้องกันการบาดเจ็บทางถนนระดับตำบลนาขุนไกร D- RTI จึงมีการกำหนดภารกิจหลักแก่ทีมพี่เลี้ยงในการหนุนเสริมชุมชน และร่วมพัฒนาชุมชนเพื่อให้สอดคล้องกับผลลัพธ์เชิงประเด็นของชุมชนและตัวชี้วัดของหน่วยงาน คือ ความรุนแรงในการเกิดอุบัติเหตุ (บาดเจ็บ พิการ เสียชีวิต) ณ.จุดเสี่ยงที่ได้รับการแก้ไขลดลง โดยอัตราการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนไม่เกิน 23.2 ต่อประชากรแสนคน ภายใต้การขับเคลื่อนการป้องกันการบาดเจ็บทางถนน  RTI โครงการพัฒนาระบบสุขภาพปฐมภูมิและเครือข่ายสุขภาพระดับอำเภอ สนับสนุนการขับเคลื่อนการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับตำบล (พชต.) อำเภอศรีสำโรง จังหวัดสุโขทัย

ทั้งนี้ เงื่อนไขสำคัญที่ทำให้การกำหนดการกิจของทีมพี่เลี้ยง ทั้งในการเป็นผู้พัฒนาชุมชน และภารกิจของหน่วยงาน ได้รับการยอมรับของทุกฝ่าย จำเป็นต้องรับรู้และเข้าใจตัวชี้วัดร่วม หรือเป้าหมายร่วมที่ทั้ง 2 ฝ่ายได้ประโยชน์ ซึ่งภารกิจในครั้งนี้ตอบโจทย์ในภาพรวมของตำบลนาขุนไกร ซึ่งตำบลนาขุนไกร ได้รับการคัดเลือกเป็นตัวแทนรับการประเมินมาตรฐานการขับเคลื่อนการป้องกันการบาดเจ็บทางถนน RTI ประจำปี 2565 จากสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสุโขทัย จึงทำให้สภาผู้นำชุมชนบ้านวังตามน โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลทั้ง 3 แห่งคือ รพ.สต.นาขุนไกร รพ.สสต.บ้านวังพิกุล และรพ.สต.บ้านลุเต่า โรงเรียนทุกแห่งในตำบล ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยตำบลนาขุนไกร และองค์การบริหารส่วนตำบลนาขุนไกร เห็นความสำคัญและร่วมกันจัดตั้งคณะทำงาน Core Team และมีการประชุมการขับเคลื่อน วางแผนการดำเนินงานแก้ไขปัญหาแบบมีส่วนร่วมของสหสาขา

2) การสื่อสารภายในทีมและหัวหน้าหน่วยงาน ประเด็นที่จำเป็นต้องสื่อสารต่อเนื่อง ประกอบด้วย ความรู้ความเข้าใจการทำงานชุมชนน่าอยู่ (โมเดล รพ.สต.) อาทิเช่น เรื่องแนวคิดชุมชนน่าอยู่และกลไกสภาผู้นำชุมชน การจัดทำแผนชุมชนพึ่งตนเอง  การประเมินผลเพื่อการเรียนรู้และพัฒนา (ARE) และระบบการบริการด้านสุขภาพและงานสร้างเสริมสุขภาพแบบมีส่วนร่วม และเชื่อมโยงสู่แผนสุขภาพตำบล และออกแบบและเก็บข้อมูลสถานะสุขภาพของ รพ.สต. และข้อมูลเชิงประเด็นของทีมสภาผู้นำชุมชน รวมถึงการประสานการทำงานระหว่าง รพ.สต. สภาผู้นำชุมชนและหน่วยจัดการชุมชนน่าอยู่ภาคเหนือและภาคีในพื้นที่ตำบลนาขุนไกร

ทั้งนี้ เงื่อนไขสำคัญที่ทำให้การสื่อสารต่อเนื่อง เกิดประสิทธิผล นำไปสู่ความเข้าใจและทักษะได้นั้นจำเป็นต้อง มีการประชุมอย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง มีการหารือโครงการ สสส. และประเด็นอื่นๆในชุมชน และมีรายงานการประชุมทุกครั้ง และทุกคนสามารถเสนอความคิดเห็นในที่ประชุม มีช่องทางการสื่อสารที่พี่เลี้ยงเข้าถึงง่าย เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร ความก้าวหน้าในการทำงานทุกงานที่ชุมชนดำเนินการให้สมาชิกทีมพี่เลี้ยงรับทราบอย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง  เพื่อช่วยกันวิเคราะห์จุด่อน จุดแข็งของชุมชน นำไปสู่การหนุนเสริมและแก้ไขปัญหาของชุมชนได้ทันเวลา ไม่มีความเสี่ยงระหว่างดำเนินงาน เช่น การจัดกิจกรรมตามกำหนดการ การเบิกจ่ายเงิน เอกสารการเงิน เอกสารสรุปความก้าวหน้า และการทำงานภายในทีมของสภาผู้นำชุมชน เป็นต้น

3) สภาผู้นำชุมชนเป็นผู้ตัดสินใจ และดำเนินงานต่างๆในชุมชนได้เองทั้งหมด โดยไม่ต้องพึ่งพาพี่เลี้ยง

วิธีการสื่อสารกับหัวหน้าหน่วยงานกรณีที่หัวหน้าไม่ได้เป็นพี่เลี้ยง

– รูปแบบการเรียนรู้ภายในทีม ใช้แนวทางการเรียนรู้จากการปฏิบัติจริงและมีส่วนร่วม โดยจำเป็นต้อง แผนในการหนุนเสริมการทำงานของทีมสภาผู้นำชุมชนด้วย จึงจะส่งผลต่อการเรียนรู้ภายในทีมได้อย่างมีประสิทธิภาพ

– การสร้างการมีส่วนร่วมของทีมและการร่วมแก้ไขปัญหา ได้ดำเนินการโดย พี่เลี้ยง ต้องเข้าร่วมเข้าประชุมและร่วมกิจกรรมไม่น้อยกว่าร้อยละ 65 ของกิจกรรมในชุมชน และในการประชุมหรือร่วมกิจกรรม ผู้เข้าร่วมสามารถแสดงความคิดเห็น ร่วมตัดสินใจเรื่องการดำเนินงาน และเสนอแนะ พิจารณาปัญหาใหม่ๆ รวมทั้งมีการร่วมติดตามประเมินผลได้ทุกคน โดยจำเป็นต้องเปิดโอกาสให้พี่เลี้ยงและสมาชิกชุมชนเข้าประชุมและร่วมกิจกรรมไม่น้อย กว่าร้อยละ 65 และสมาชิกชุมชนทุกคน สามารถแสดงความคิดเห็นมากขึ้น หรือมีสมาชิกหน้าใหม่ร่วมแสดงความคิดเห็นมากขึ้น สมาชิกชุมชนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจมากขึ้น หรือมีสมาชิกหน้าใหม่ร่วมตัดสินใจ และสมาชิกชุมชนมีข้อเสนอแนะ หรือให้ทางเลือกใหม่ๆ ในการแก้ปัญหาชุมชนมากขึ้น และเพิ่มประสิทธิภาพการมีส่วนร่วมของทีมพี่เลี้ยงและสภาผู้นำชุมชน โดยเปิดโอกาสให้สมาชิกชุมชนมีส่วนร่วมในการติดตามประเมินผล หรือสามารถร่วมประเมินความสำเร็จของชุมชนได้ จึงจะส่งผลต่อการมีส่วนร่วมของทีมและการร่วมแก้ไขปัญหาทั้งในส่วนของทีมงานและต่อกลไกสภาผู้นำชุมชนในแต่ละหมู่บ้านได้

4.การบริหารจัดการเป้าหมายร่วมของพื้นที่

1) การกำหนดเป้าหมายร่วมกันระหว่าง รพ.สต.นาขุนไกร องค์การบริหารส่วนตำบลนาขุนไกร และสภาผู้นำชุมขน  ได้มีการกำหนดเป้าหมายร่วมกัน คือ ตัวชี้วัดร่วมในคก การมีส่วนร่วมของชุมชนในการจัดการจุดเสี่ยงและพฤติกรรมเสี่ยง ลดอุบัติเหตุทางถนนในชุมชน โดยมีตัวชี้วัดร่วมกันคือ 1) จำนวนของการเกิดอุบัติเหตุ ณ.จุดเสี่ยงที่ได้รับการแก้ไขลดลง อย่างน้อยร้อยละ 80 (7 ครั้งจาก 9 ครั้ง) 2) ความรุนแรงในการเกิดอุบัติเหตุ (บาดเจ็บ พิการ เสียชีวิต) ณ.จุดเสี่ยงที่ได้รับการแก้ไขลดลง โดยอัตราการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนไม่เกิน 23.2 ต่อประชากรแสนคน โดยการกำหนดเป้าหมายร่วมกันให้เกิดการยอมรับ นำไปสู่การบรรลุเป้าหมายได้จริง จำเป็นต้อง ใช้ข้อมูลชุดเดียวกันและมีการกำหนดข้อตกลงร่วมกัน

2) การวางแผนการดำเนินงานร่วมกันระหว่าง รพ.สต.นาขุนไกร และสภาผู้นำชุมขนจากเป้าหมายร่วมที่กำหนดด้วยการรวบรวมข้อมูลอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นในชุมชนในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา โดยขอข้อมูลจากโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) สถานีตำรวจในพื้นที่ มาประมวลผล จัดเวทีประชาคมทำความเข้าใจโครงการร่วมกับสมาชิกชุมชนรวมถึงการคืนข้อมูลอุบัติเหตุทางถนนในชุมชนที่เกิดขึ้นให้แก่สมาชิกชุมชน ทั้งนี้ จะต้องร่วมกันวิเคราะห์จุดเสี่ยงค้นหาปัจจัยที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุ เพื่อทำแผนการปรับปรุงจุดเสี่ยง โดยร่วมกันออกความคิดเห็น เพื่อทำความเข้าใจร่วมกันถึงลักษณะของอุบัติเหตุบริเวณจุดเสี่ยงอันตราย และร่วมกันคัดเลือกและจัดลำดับจุดเสี่ยงที่ต้องการทำการปรับปรุงแก้ไขก่อน-หลัง และกำหนดข้อตกลงร่วมของชุมชนในการแก้ไขจุดเสี่ยงและพฤติกรรมที่สัมพันธ์กับจุดเสี่ยงที่ชุมชนจะแก้ไข จึงจะเกิดการยอมรับ จัดแบ่งหน้าที่และ นำไปสู่การปฏิบัติได้จริง

3) การดำเนินงานและการจัดการทรัพยากรร่วมกันระหว่าง รพ.สต.นาขุนไกร และสภาผู้นำชุมขน จากแผนการดำเนินร่วมที่กำหนด โดยที่ผ่านมาได้จัดการทรัพยากร คือ การแบ่งปันข้อมูลร่วมกัน ด้วยการเก็บ รวบรวมข้อมูลและบันทึกผลในชุดข้อมูลแหล่งเดียวกัน เพื่อป้องกันการซ้ำซ้อนของข้อมูล หรือป้องกันการคลาดเคลื่อนของข้อมูลนั้นๆ โดยมีสิ่งที่ขาดไม่ได้หรือต้องมีเงื่อนไข คือ การออกแบบการเก็บข้อมูลชุดเดียวกัน หรือ ใช้แบบฟอร์มเดียวกัน

4) การติดตามและประเมินผลร่วมกันระหว่าง รพ.สต.นาขุนไกร และสภาผู้นำชุมขนเพื่อให้บรรลุเป้าหมายร่วมที่กำหนดร่วมกัน ด้วยการ ร่วมประชุมประจำเดือนของสภาผู้นำชุมชน หรือของหมู่บ้านหรือของ รพ.สต. โดยมีขั้นตอนสำคัญ คือ 1) สรุปข้อมูลเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพที่สอดคล้องกับตัวชี้วัดในผลลัพธ์ประเด็นนั้นๆ  2) สะท้อนผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริงตามระยะเวลาที่ดำเนินโครงการ 3) เปรียบผลลัพธ์ที่ได้ว่าบรรลุเป้าหมายร่วมที่กำหนดไว้หรือไม่ 4) แลกเปลี่ยนเรียนรู้สิ่งดีๆที่เกิดขึ้น และร่วมเสนอแนะแนวทางการพัฒนาให้ดีขึ้นหรือแนวทางปรับปรุงให้บรรลุเป้าหมายร่วมที่กำหนดไว้ ทั้งนี้ ทุกครั้งจำเป็นต้องมีหรือต้องใช้ ข้อมูลจริงที่เก็บรวบรวมได้มาอ้างอิงและใช้จริงเป็นรูปธรรม จึงจะเกิดประโยชน์จากรูปแบบของการติดตามและประเมินผลร่วมกันระหว่างรพ.สต. และสภาผู้นำชุมขน

5.ผลลัพธ์การเปลี่ยนแปลงของชุมชน

1) ผลลัพธ์สมรรถนะสำคัญและการปรับเปลี่ยนวิธีทำงานของพี่เลี้ยง โดยเกิดผลลัพธ์ในระยะกลางของวิธีทำงานของพี่เลี้ยง คือ พี่เลี้ยง รพ.สต. มีทักษะในการหนุนเสริมการทำงานของสภาผู้นำชุมชนได้อย่างต่อเนื่องและสามารถขับเคลื่อนงานระหว่าง รพ.สต. อปท.และภาคีในชุมชนได้ ผ่านการถ่ายทอดแนวคิดชุมชนน่าอยู่และหนุนเสริมชุมชนให้เกิดกลไกสภาผู้นำชุมชน สนับสนุนกระบวนการจัดทำแผนชุมชนพึ่งตนเอง ร่วมออกแบบระบบการบริการด้านสุขภาพ และงานสร้างเสริมสุขภาพแบบมีส่วนร่วม และเชื่อมโยงสู่แผนสุขภาพตำบล หนุนเสริมทีมสภาผู้นำชุมชนร่วมเป็นคณะอนุกรรมการกองทุนหลักประกันสุขภาพตำบล หรือคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับตำบล (พชต.) มีการจัดทำแผนงานโครงการหรือกิจกรรมเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาสุขภาพอย่างน้อย 1 ประเด็น โดยใช้กลไกการมีส่วนร่วมจัดทำแผนงานโครงการ ระหว่างทีมสภาผู้นำชุมชน และ รพ.สต. ที่สอดคล้องกับแผนปฏิบัติการด้านสาธารณสุขของ รพ.สต. บรรจุอยู่ในแผนชุมชนพึ่งตนเอง โดยต้องมีหรือต้องใช้ แนวคิดสาธารณสุขมูลฐานกับการพัฒนาระบบบริการปฐมภูมิ (นโยบาย 3 หมอ) มาประยุกต์ร่วมด้วยจึงจะเกิดสมรรถนะได้ตามที่คาดหวัง ให้สอดคล้องกับบันไดผลลัพธ์ของโมเดล รพ.สต.

2) ผลลัพธ์สมรรถนะของกลไกสภาผู้นำชุมชน โดยเกิดผลลัพธ์ในระยะกลางของวิธีทำงานของสภาผู้นำชุมชน คือ สภาผู้นำชุมชนมีสมรรถนะในการเสริมพลังชุมชนและขับเคลื่อนงานตามแผนชุมชนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในชุมชนได้ โดยต้องมีหรือต้องใช้ เป้าหมายและข้อตกลงร่วมกัน ผ่านการประชุมอย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง มีการหารือโครงการ สสส. และประเด็นอื่นๆในชุมชน และมีรายงานการประชุมทุกครั้ง โดยมีผู้เข้าร่วมประชุมไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของจำนวนสมาชิกสภาผู้นำชุมชน ทุกคนสามารถเสนอความคิดเห็นในที่ประชุมได้  สภาผู้นำชุมชนเป็นผู้ตัดสินใจ และดำเนินงานต่างๆในชุมชนได้เองทั้งหมด โดยไม่ต้องพึ่งพาพี่เลี้ยง สภาผู้นำชุมชนสามารถดำเนินงานได้ตามบทบาทหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย มีการติดตามประเมินผลการดำเนินงานและคืนข้อมูลให้แก่ชุมชน และมีการปรับปรุงการดำเนินงานให้เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนด  สภาผู้นำชุมชนมีการบริหารจัดการงบประมาณโครงการ สสส. และโครงการอื่นของชุมชน ด้วยความโปร่งใส จัดทำบัญชีรับจ่ายและแจ้งข้อมูลให้สมาชิกในชุมชนทราบทุกเดือน สภาผู้นำชุมชนสื่อสารข้อมูลข่าวสารความก้าวหน้าในการทำงานทุกงานที่ชุมชนดำเนินการให้สมาชิกชุมชนรับทราบอย่างน้อยเดือนละครั้ง จึงจะเกิดสภาที่มีสมรรถนะได้ตามที่คาดหวัง ที่สอดคล้องกับบันไดผลลัพธ์และ ความเข้มแข็ง 9 มิติได้

3) ผลลัพธ์การเปลี่ยนแปลงของประเด็นสุขภาพที่ดำเนินการร่วมกัน คือ การจัดการจุดเสี่ยงและพฤติกรรมเสี่ยง เพื่อป้องกันอุบัติเหตุทางถนนในชุมชน โดยเกิดผลลัพธ์ในระยะกลาง โดยประชาชนกลุ่มเป้าหมายร้อยละ 100 จำนวน  95 ครัวเรือนและครัวเรือนที่ไม่ได้เข้าร่วมโครงการ จำนวน 40 ครัวเรือน  รับรู้สถานการณ์อุบัติเหตุและมีความรู้ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเสี่ยงที่สัมพันธ์กับจุดเสี่ยงในชุมชนตนเอง และเกิดข้อตกลงร่วมในการแก้ไขจุดเสี่ยงและพฤติกรรมที่สัมพันธ์กับจุดเสี่ยงที่ชุมชนจะแก้ไข จำนวน 5 ข้อ ดังนี้ 1-ห้ามดัดแปลงแต่งรถส่งเสียงดังรบกวน  2-เมาแล้วห้ามขับปรับบำเพ็ญประโยชน์ 3-สวมหมวกกันน๊อค 100 % ขณะขับขี่รถจักรยานยนต์ 4-ตรวจสภาพรถให้พร้อมใช้งาน มีพรบ.และทะเบียนไม่หมดอายุ  5-ห้ามขับรถเร็วในเขตชุมชน โดยมีมาตรการบทลงโทษ หากพบผู้ฝ่าฝืน ดำเนินการ 3 ขั้นตอนคือ 1.ว่ากล่าวตักเตือน 2.บันทึกชื่อไว้ 3.ลดสวัสดิการชุมชน

จุดเสี่ยงการเกิดอุบัติเหตุทางถนนได้รับการปรับปรุงแก้ไข ร้อยละ 100 ของจุดเสี่ยงประเภทที่ชุมชนแก้ไขได้เอง จำนวน 5จุด และจำนวนจุดเสี่ยงในชุมชนที่ได้รับการแก้ไขโดยการทำร่วมหรือส่งต่อข้อมูล จำนวน 3 จุด  ร้อยละ 100 และคนในชุมชนร้อยละ 67  จำนวน 240 คน จาก 357คน   มีพฤติกรรมเสี่ยงที่สัมพันธ์กับจุดเสี่ยงลดลง โดยพบผู้ที่เมาแล้วขับ 4 คน ขับรถเร็ว 17 คน ขับรถย้อนศร 0 คน ไม่สวมหมวกนิรภัย 44 คน พูด/เล่นโทรศัพท์ขณะขับรถ 7 คน  จำนวนของการเกิดอุบัติเหตุ ณ.จุดเสี่ยงที่ได้รับการแก้ไขลดลง ร้อยละ 55.56   จาก 9 ครั้งเหลือ 4 ครั้ง ซึ่งที่ผ่านมาเกิดอุบัติเหตุจำนวน 4 ครั้ง เป็นรถจักรยานยนต์ และความรุนแรงในการเกิดอุบัติเหตุ บาดเจ็บ พิการ เสียชีวิต  ณ.จุดเสี่ยงที่ได้รับการแก้ไขลดลง โดยอัตราการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนไม่เกิน 23.2 ต่อประชากรแสน พบผู้บาดเจ็บจำนวน 4 คน โดยต้องมีหรือต้องใช้ข้อมูลชุดเดียวกันและมีการกำหนดข้อตกลงร่วมกัน  จึงจะเกิดผลลัพธ์ได้ตามที่กำหนดไว้ในวัตถุประสงค์และตัวชี้วัดของโครงการระดับชุมชน

หมายเหตุ***ภาพกิจกรรมการดำเนินงานของสภาผู้นำชุมชนบ้านวังตามน

      

      

(ตัวอย่าง)

บทเรียน การดำเนินงานบ้าน………………………………………………………

โมเดล รพ.สต. พื้นที่ตำบล   AAAAAAAA

                                                                                          โดย…………………………………….

                                                                                         ทีมสนับสนุนวิชาการ หน่วยจัดการชุมชนน่าอยู่ภาคเหนือ

  1. บริบท……………………………………………..

1) การหนุนเสริมของหน่วยจัดการต่อพี่เลี้ยง รพ.สต. ให้มีสมรรถนะในการดำเนินงาน ? ทั้งนี้ จำเป็นต้องหรือมีเงื่อนไขสำคัญ ..หน่วยจัดการภาค(อิสาน) มีคณะทำงานหรือที่เขาเรียก Admin  ต้องเป็น coaching ของพี่เลี้ยง รพ.สต.  (ช่วยสร้างความเข้าใจ เปลี่ยน mind set  การใช้ข้อมูล วิธีการทำงาน  ลงพื้นที่ร่วม ทำให้ดู สอนหน้างาน ช่วยวิเคราะห์ช่องว่าง การประชุมบ่อยๆ)

2) การดำเนินงานของกลไกการดำเนินงานพี่เลี้ยง รพ.สต. ในการหนุนเสริมกลไกสภาผู้นำชุมชน ? พื้นที่ รพ.สต.รับผิดชอบทั้งหมด 8 หมู่บ้าน มี จนท.รพ.สต.4 คน เป็นบทบาทพี่เลี้ยงโมเดล รพ.สต.3 คน  โดย ผอ. รพ.สต. รับดูแล 5 บ้าน  เจ้าหน้าที่ คนที่ 2 ดูแล 2 บ้าน เจ้าหน้าที่ คนที่ 3 ดูแล 1 บ้าน โดย บทบาทหนุนเสริมข้อมูลด้านสุขภาพ ข้อมูลวิชาการ ประสานการทำงานร่วมของแต่ละบ้าน สนับสนุนการแก้ไขปัญหาของแต่ละบ้าน พัฒนาการก่อตัวของสภา

ทั้งนี้ จำเป็นต้องหรือมีเงื่อนไขสำคัญ ..

– พี่เลี้ยง รพ.สต.ต้องเป็นคนในพื้นที่ในเขตบริการ มีประสบการณ์ทำงานร่วมกับ สสส. มาก่อน ประมาณ 8 ปี (2557)

3) เงื่อนไขและปัจจัยความสำเร็จและไม่สำเร็จในแต่ละช่วง ของการดำเนินงานชุมชนน่าอยู่โมเดล รพ.สต. ในพื้นที่ตำบล ทั้งนี้ จำเป็นต้องหรือมีเงื่อนไขสำคัญ ..ด้วยกลยุทธ์อย่างไร/ด้วยเงื่อนไข/เทคนิค/ลำดับก่อนหลัง/ช่วงเวลา/ครั้งหรือความถี่ จุดเด่นของการดำเนินงานตามเป้าหมายของพื้นที่ ที่ควรส่งเสริมต่อเนื่อง และประเด็นที่ยังต้องปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้น จะต้องปรับปรุงอย่างไรจึงจะบรรลุเป้าหมายความสำเร็จ ภายใต้การดำเนินงานคามโมเดล รพ.สต.ในพื้นที่ตำบล?

ทั้งนี้ จำเป็นต้องหรือมีเงื่อนไขสำคัญ ..

– ผอ.รพ.สต.ต้องเป็นแกนนำทีมพี่เลี้ยง รพ.สต. และมีการแบ่งพื้นที่รับผิดชอบชัดเจน และร่วมเป็นสภาผู้นำชุมชนมาก่อน

– รพ.สต.มีการใช้ข้อมูลในการวิเคราะห์ปัญหา ยืนยันความถูกต้องตั้งแต่ระดับครัวเรือน นำข้อมูลมาสะท้อนร่วมกัน เช่น การคัดแยกขยะ ผ่านการส่งทางไลน์ว่าเป็นใคร ที่ไหน แยก ไม่แยกขยะไปยังตัวบุคคล

– รพ.สต.มีการเชื่อมประสานงานร่วมกับ อปท. เช่น รถเขียว(ขนขยะ) เป็นผู้ชั่งของตำบลและรอยต่อหมู่บ้านที่ไม่มีเจ้าภาพ รถเขียวเป็นผู้ส่งข้อมูลแก่สภาฯแบบเรลไทม์ พร้อมภาพ

– ผอ.รพ.สต.และหมู่บ้านบางส่วน ต้องมีประสบการณ์ทำงานร่วมกับ สสส.มาก่อน และอยู่เขตบริการของ รพ.สต.

  1. แลกเปลี่ยนข้อมูลบทเรียนการดำเนินงานที่ได้จากการลงพื้นที่ มาเติมเต็มกับกระบวนการทำงาน และบทเรียนการดำเนินงานภายใต้โมเดล รพ.สต.ผ่านตัวอย่าง รพ.สต.ที่หน่วยจัดการภาคได้จัดทำไว้

1) ข้อเรียนรู้จากการลงพื้นที่ของแต่ละหน่วยจัดการ เพื่อนำไปปรับปรุงการทำงานในพื้นที่ของตนเอง?

1.ด้าน/การก่อตัว ได้เรียนรู้ว่า หากจะดำเนินการต่อ ต้องคัดเลือกพี่เลี้ยง รพ.สต.ต้องเป็น ผอ.รพ.สต.และทีมงานทุกคนที่สมัครใจร่วมกัน โดยมี ผอ.รพ.สต.เป็นคนในพื้นที่หรือมีแรงจูงใจร่วม(ค่าตอบแทน) พื้นที่ในเขตบริการต้องมีชุมชนที่เคยมีประสบการณ์โครงการชุมชนน่าอยู่และมีสภาฯที่เข้มแข็ง เป็นตัวอย่างได้. ( เช่น เทพคีรีมี 4 บ้าน จาก 8 บ้าน=ไม่น้อย 50 %) การก่อตัวของสภาผู้นำชุมชนมาจาก อสม.เป็นหลักและ อสม.ไปชักชวนกลุ่มอื่นๆ (ส่วนใหญ่ผู้นำเป็น อสม.ด้วย)

2.ด้าน/การเกิดสมรรถนะพี่เลี้ยง พี่เลี้ยงใหม่ต้องลงไปร่วมเรียนรู้จากการลงมือทำกับทีมงานหรือหัวหน้าพี่เลี้ยง(ผอ.รพ.สต.)

3.ด้าน/การกำหนดบทบาท/ภารกิจพี่เลี้ยง ได้เรียนรู้ว่า แบ่งหมู่บ้านในการหนุนเสริมการทำงาน ตามประสบการณ์ของพี่เลี้ยง

4.ด้าน./การสื่อสาร………………………………………………………………………………………………………………………………

5.ด้าน./การเรียนรู้ภายในทีม………………………………………………………………………………………………………………….

6.ด้าน/การสร้างการมีส่วนร่วม ได้เรียนรู้ว่า พี่เลี้ยงให้โอกาสตัดสินใจแต่หากเชิงวิชาการพี่เลี้ยงให้คำปรึกษา ร่วมให้ข้อมูล คืนข้อมูล  //ร่วมแก้ไขสภาด้วยกัน ไม่แบ่งหน้าที่เฉพาะแต่ช่วยกันแก้ปัญหา

7.ด้าน/การกำหนดเป้าหมายร่วม ระหว่างพี่เลี้ยง ที่ร่วมกับ ภาคี ได้เรียนรู้ว่า มีแผนปฏิบัติการ มีกำหนดเป้าหมายร่วมกัน//ออกแบบและวางแผนใช้ข้อมูลร่วมกับสภาในการลงมือปฏิบัติ

8.ด้าน/การวางแผนร่วมกันของพี่เลี้ยงกับสภาผู้นำชุมชน………………………………………………………………………………

9.ด้าน/การดำเนินการจัดการทรัพยากรร่วมของพี่เลี้ยงกับสภาผู้นำชุมชน………………………………………………………….

10.ด้าน/การติดตามและประเมินผลร่วมของพี่เลี้ยงกับสภาผู้นำชุมชน ได้เรียนรู้ว่า ติดตามร่วมกันโดยใช้ข้อมูลจากสภา อสม.ในแต่ละคุ้ม

11.ด้านสมรรถนะสำคัญและการปรับเปลี่ยนวิธีการดำเนินงานของพี่เลี้ยง ได้เรียนรู้ว่า  ยึดเป้าร่วมเป็นสิ่งสำคัญ คือสิ่งที่ต้องคนทำร่วมกัน เช่น จัดการขยะเป็นวาระแห่งชาติ เป็นประเด็นที่ชาวบ้านรับรู้

12.ด้านสมรรถนะสำคัญของสภาผู้นำชุมชน ได้เรียนรู้ว่า เก็บข้อมูลได้ คืนข้อมูลได้ วางแผนร่วมได้ แบ่งพื้นที่ดูแลชัดเจน บูรณาการกับงานของ รพ.สต.ได้ ผ่านเวทีประชุมสัญจรระดับตำบล

13.ด้านผลลัพธ์การเปลี่ยนแปลงสุขภาวะ ได้เรียนรู้ว่า กลุ่มเสี่ยงได้รับการคัดกรอง ทำตนเป็นแบบอย่างในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ชักชวนกลุ่มเสี่ยงเข้าร่วมปรับเปลี่ยนพฤติกรรม สร้างความตระหนักว่า ความเสี่ยง NCD ไม่ใช่เรื่องหมอ เป็นเรื่องของสภา

 

Shares:
QR Code :
QR Code

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ระบุข้อความ