
บทเรียนโครงการชุมชนน่าอยู่: โมเดล รพ.สต.นาขุนไกร พื้นที่บ้านนาขุนไกร ม.1 จ.สุโขทัย
บทเรียนการดำเนินงานของกลไกการดำเนินงานโครงการชุมชนน่าอยู่ โมเดล รพ.สต. (รพ.สต.นาขุนไกร)
พื้นที่โครงการชุมชนน่าอยู่ หมู่บ้านนาขุนไกร หมู่ที่ 1 ตำบลนาขุนไกร อำเภอศรีสำโรง จังหวัดสุโขทัย
โดย นายพิชญ์ทิภัทร รัตนจันทร์กุล
ทีมสนับสนุนวิชาการ หน่วยจัดการชุมชนน่าอยู่ภาคเหนือ
1.บริบทของพื้นที่
บ้านนาขุนไกรแต่เดิมเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ชาวบ้านทำนาร่วมกันและชาวบ้านอพยพมาจากหมู่ที่ 5 บ้านหนองตาโชติ ตำบลวังทองแดง อำเภอเมือง จังหวัดสุโขทัย และยังอพยพมาจากบ้านไร่ ตำบลบ้านราวต้นจันทน์ และตำบลอื่นๆอีกบางส่วนมาอยู่รวมกันจึงจัดตั้งเป็นหมู่บ้านนาขุนไกร หมู่ที่ 4 ตำบลนาขุนไกร อำเภอศรีสำโรง มีผู้ใหญ่บ้านคนแรก คือ นายแสวง มีบุญ และกำนันคนแรกของบ้านนาขุนไกรคือ นายทอง อ่อนบุญ มีพื้นที่ทั้งหมด 14 หมู่บ้าน รวมทั้งตำบลราวต้นจันทน์ ต่อมาต้องแยกหมู่บ้านนาขุนไกรเป็น 2 ตำบล คือตำบลนาขุนไกรและตำบลราวต้นจันทน์ และได้มีกำนันขึ้นมาใหม่ คือ นายประเสริฐ มีบุญ เป็นกำนันตำบลนาขุนไกรตอนนั้นเดิมเป็นหมู่ที่ 4 เปลี่ยนมาเป็นหมู่ที่ 1 บ้านนาขุนไกร และได้เลือกผู้ใหญ่บ้านใหม่ คือ นายสำราย บัวป้อม และปัจจุบันมีนายวีระ เกตุขาว เป็นผู้ใหญ่บ้าน มีครัวเรือนทั้งสิ้น 177 ครัวเรือน ประชากรทั้งหมด 453 คน แยกเป็น ชาย จำนวน 221 คน หญิง จำนวน 232 คน โดยผู้ที่มีอายุ 15 ปีขึ้นไป จำนวน 320 คน
ปัญหาก่อนดำเนินโครงการ จากการทบทวนสภาพปัญหาของชุมชน จัดลำดับความรุนแรงของปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาวะของคนในชุมชน โครงการ/กิจกรรมที่จะดำเนินการ แหล่งทุนที่คาดว่าจะได้รับ และทบทวนปัญหาที่มีความต้องการที่จะแก้ไขเร่งด่วนด้านยุทธศาสตร์การพัฒนาด้านคุณภาพชีวิตและสาธารณสุข (ด้านสุขภาพ) ภายใต้เงื่อนไขแผนพัฒนาหมู่บ้านหรือแผนชุมชน (ทำเอง ทำร่วม ทำขอหรือทำให้) ภายใต้การขับเคลื่อนของแกนนำชุมชน ในรูปแบบทีมสภาผู้นำชุมชน งบประมาณสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สำนัก 6 พบว่า
อันดับ 1 คือ ปัญหาการระบาดของโรคไวรัสโคโรน่า 2019 (โควิด-19) ได้รับการประสานหน่วยงานรับผิดชอบ/แหล่งทุน ประเภททำขอ จากอบต.นาขุนไกร รพ.สต.นาขุนไกร
อันดับ 2 คือ ปัญหาการระบาดของยาเสพติดและฟื้นฟูผู้เสพคืนสู่ครอบครัว ได้รับการประสานหน่วยงานรับผิดชอบ/แหล่งทุน ประเภท ทำร่วม จากกรมการปกครองและประเภททำขอ จากอบจ.สุโขทัย
อันดับ 3 คือ ปัญหาโรคระบาดในสัตว์ (สุกร วัว ไก่) ได้รับการประสานหน่วยงานรับผิดชอบ/แหล่งทุน ประเภททำขอ จากปศุสัตว์อำเภอศรีสำโรง
อันดับ 4 คือ ปัญหาโรคติดต่อโดยแมลง (ไข้เลือดออก) ได้รับการประสานหน่วยงานรับผิดชอบ/แหล่งทุน ประเภททำร่วม จากรพ.สต.นาขุนไกร และกองทุนหลักประกันสสุขภาพตำบลนาขุนไกร โครงการพระราชดำริด้านสาธารณสุข
อันดับ 5 คือ ปัญหาสิ่งแวดล้อมและขยะในครัวเรือน ซึ่งขาดงบประมาณ
ทางทีมสภาผู้นำชุมชนและตัวแทนครัวเรือนจึงลงมติเอกฉันท์คัดเลือกที่จะแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมและขยะในครัวเรือน โดยขอรับการสนับสนุนงบประมาณจาก สสส. ซึ่งมีสถานการณ์ปัญหาดังนี้
ประชาชน จำนวน 100 ครัวเรือน ไม่มีการคัดแยกขยะ และจำนวน 17 ครัวเรือนมีการจัดการขยะด้วยวิธีเผากลางแจ้ง โดยมีปริมาณขยะภาคครัวเรือน เฉลี่ย 60 กิโลกรัมต่อเดือนต่อครัวเรือน แบ่งออกเป็นขยะทั่วไป 20 กิโลกรัมต่อเดือนต่อครัวเรือน ขยะอินทรีย์ 40 กิโลกรัมต่อเดือนต่อครัวเรือน และประชาชนจำนวน 50 ครัวเรือนมีการเลี้ยงสัตว์แบบคอกภายในชุมชน เช่น เลี้ยงวัว ทำให้มีขยะภาคการเกษตรจากการเลี้ยงสัตว์ เฉลี่ย 700 กิโลกรัมต่อเดือนต่อครัวเรือน แบ่งออกเป็น ขยะสิ่งปฏิกูลจากการเลี้ยงสัตว์ เฉลี่ย 400 กิโลกรัมต่อเดือนต่อครัวเรือน และขยะอินทรีย์จากการเลี้ยงสัตว์ เฉลี่ย 300 กิโลกรัมต่อเดือนต่อครัวเรือน และมีการใช้กล่องโฟมบรรจุอาหารในกิจกรรมการประชุม อบรม งานศพ งานบุญต่างๆ ของชุมชน เฉลี่ย 27 งานต่อปี และมีพื้นที่สาธารณะในชุมชนที่เสี่ยงต่อการทิ้งขยะ จำนวน 2 จุด คือ บริเวณโค้งบ้านนายบุญเชิด บุญตั้ง และ บริเวณคลองปลายนา เป็นต้น
จากสถานการณ์ปัญหาขยะ ทำให้เกิดผลกระทบที่เกิดจากปัญหาขยะ ได้แก่ ผลกระทบด้านสุขภาพ (อ้างอิงข้อมูลจากโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านวังพิกุลและสำรวจจริง) มีผู้ป่วยโรคไข้เลือดออก ปี พ.ศ.2563 – พ.ศ.2564 จำนวน 3 คน ผู้ป่วยโรคอุจจาระร่วง ปี พ.ศ.2563 – 2564 จำนวน 26 คน และได้รับบาดเจ็บและเจ็บป่วยจากขยะอันตรายและขยะเป็นพิษ เช่น ถูกบาด ทิ่มแทง ระคายเคือง ผื่นแพ้ฉับพลัน ผลกระทบด้านสังคม มีการร้องเรียน ทะเลาะวิวาท เรื่องการทิ้งขยะในพื้นที่สาธารณะ ขยะส่งกลิ่นเหม็น จำนวน 21 ครั้ง ผลกระทบด้านเศรษฐกิจ เสียค่าใช้จ่ายจากการรักษาอาการบาดเจ็บหรือเจ็บป่วยจากขยะ และผลกระทบสิ่งแวดล้อม มีหมอกควันจากการเผาขยะ เป็นแหล่งเพาะพันธุ์สัตว์นำโรค และแหล่งสะสมเชื้อโรคอื่นๆ ครัวเรือนสกปรก ไม่น่ามอง ไม่น่าอยู่ ไม่มีความสุข
ทุนศักยภาพของชุมชน บ้านนาขุนไกร หมู่ที่ 1 ตำบลนาขุนไกร มีทุนเดิมทั้งกรรมการหมู่บ้าน ปราชญ์ชาวบ้าน ความรู้ วัฒนธรรม ภาคีเครือข่าย ทรัพยากรสิ่งแวดล้อม กองทุนชุมชน แกนนำ ฐานข้อมูลชุมชนต่างๆที่สำคัญ เช่น ทุนทางสังคม ช่วยเหลือเกื้อกูล ขนบธรรมเนียมประเพณี ภูมิปัญญาที่ดี ทุนทางการศึกษา มีโรงเรียนขุนไกรพิทยาคมเป็นโรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดเล็กประจำตำบล ที่เป็นศูนย์การเรียนรู้ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ด้านการศึกษา และโรงเรียนบ้านนาขุนไกร เป็นศูนย์พัฒนาผู้เรียนให้เป็นคนดี มีคุณธรรม จริยธรรม ดำรงตนในสังคมอย่างมีความสุข และที่สำคัญที่สุดคือ การสำนึกรักษ์และตอบแทนคุณบ้านเกิด ทุนทางเศรษฐกิจ มีการออมเงินกับกลุ่มชุมชน มีการรวมตัวจัดตั้งกลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงวัว มีตลาดค้าขายวัวประจำตำบลและพื้นที่มีต้นไม้กวาดจำนวนมาก เกิดการจัดตั้งวิสาหกิจชุมชน กลุ่มไม้กวาดดอกหญ้า ทุนทางทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตำบลนาขุนไกรเป็นพื้นที่ราบและสลับเขา มีพื้นที่ที่เป็นเจ้าของเพียงพอต่อการประกอบอาชีพต่างๆ มีพื้นที่สาธารณะใช้ประโยชน์ มีป่าชุมชน มีคลองสาธารณะ และป่าชุมชน เขตพื้นที่อุทยาน เขตสงวนพันธ์สัตว์ป่า ทุนทางความมั่นคงและความสงบเรียบร้อย มีจิตอาสา มีการจัดตั้งแกนนำชุมชนในการดูแลและป้องกันและรักษาทรัพย์สินของประชาชน การอยู่เวรยามในการป้องกันอุบัติเหตุในช่วงเทศกาล การปฏิบัติหน้าที่เฝ้าระวังและป้องกันควบคุมโรคระบาดที่สำคัญ เช่น ไข้เลือดดอก โรคไวรัสโคโรน่า โควิด-19 เป็นต้น ทุนทางการบริหารจัดการ มีองค์การบริหารส่วนตำบลนาขุนไกรได้รับรางวัล อปท.ที่มีการบริหารจัดการที่ดี มีเครื่องมือในการจัดเก็บบันทึกข้อมูล และสนับสนุนการบริหารจัดการด้านต่างๆของหมู่บ้านเป็นอย่างดี และจากประสบการณ์ในการทำกิจกรรมด้วยกระบวนการมีส่วนร่วมของคนในชุมชนร่วมกับหน่วยงานต่างๆในตำบล อาทิ องค์การบริหารส่วนตำบลนาขุนไกร โรงเรียนขุนไกรพิทยาคม โรงเรียนบ้านเขาดินไพรวัลย์ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านวังพิกุล ศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนตำบลนาขุนไกร เป็นต้น ทำให้ผู้นำชุมชนและแกนนำกลุ่มต่างๆเกิดเรียนรู้ร่วมกัน สามารถทำงานร่วมกันได้เป็นอย่างดี อาทิเช่น การทบทวนแผนชุมชนพึ่งตนเอง การสร้างการมีส่วนร่วมในชุมชน และการใช้เวทีประชุมร่วมกับภาคีเครือข่าย แลกเปลี่ยนประสบการณ์การดำเนินงานในแต่ละประเด็น เพื่อเสริมพลัง ชื่นชมผลงานที่บรรลุวัตถุประสงค์ ร่วมปรึกษา แนวทางแก้ไขปัญหา เพื่อนำไปสู่การประเมินผลสำเร็จในข้อมูลเชิงประจักษ์
2.การก่อตัวของกลไกพี่เลี้ยง รพ.สต./อปท.
1) จำนวนพีเลี้ยงใน รพ.สต. การจัดโครงสร้างทีมพี่เลี้ยง ชุมชนบ้านนาขุนไกร ขับเคลื่อนโครงการภายใต้ประเด็นการจัดการจุดเสี่ยงและพฤติกรรมเสี่ยงเพื่อป้องกันอุบัติเหตุทางถนนในชุมชน โดยมีพี่เลี้ยง จำนวนทั้งหมด 8 คน ร่วมเป็นที่ปรึกษาขับเคลื่อนโครงการ แบ่งออกเป็น 1) สภาผู้นำชุมชนเดิม หรือ Super Coach จากบ้านวังขอนงุ้น คือนายสมประสงค์ ยาใจ และมีสภาผู้นำชุมชนใหม่ หรือ Super Coach จำนวน 2 คน คือ นางสาวณัฐนิชา จั่นจีน รองนายกองค์การบริหารส่วนตำบลนาขุนไกรและ นายศุภกร ปาอาภร ประธานอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านนาขุนไกร 2) พี่เลี้ยงจากโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลนาขุนไกร คือ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลนาขุนไกร นายพิชญ์ทิภัทร รัตนจันทร์กุล (นักวิชาการสาธารณสุขชำนาญการ) รับผิดชอบเป็นหัวหน้าทีมพี่เลี้ยง และมีพี่เลี้ยง รพ.สต.นาขุนไกร คือ นางสาวน้ำทิพย์ หลวงนุช พนักงานธุรการ รับผิดชอบดูแลเป็นพี่เลี้ยงที่ปรึกษาหลัก และมีพี่เลี้ยงใหม่ คอยหนุนเสริมการทำงานต่อเนื่อง จำนวน 3 คน คือ นักวิชาการสาธารณสุข สำนักงานสาธารณสุขอำเภอศรีสำโรง จำนวน 2 คน และนักวิชาการสาธารณสุข องค์การบริหารส่วนตำบลนาขุนไกร จำนวน 1 คน
โดยการจัดโครงสร้างทีมพี่เลี้ยง และการบริหารจัดการภายในทีม ให้เกิดความคล่องตัว เกิดรูปธรรมในการหนุนเสริมสภาผู้นำชุมชนได้นั้น จำเป็นต้องมีพี่เลี้ยง รพ.สต.ในพื้นที่เป็นพี่เลี้ยงหลัก ในการหนุนเสริมการทำงานที่ต่อเนื่อง ซึ่งบ้านนาขุนไกร หมู่ที่ 4 มีพี่เลี้ยงโมเดล รพ.สต.หลัก คือ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลนาขุนไกร นายพิชญ์ทิภัทร รัตนจันทร์กุล (นักวิชาการสาธารณสุขชำนาญการ) และมีนางสาวน้ำทิพย์ หลวงนุช พนักงานธุรการ รับผิดชอบดูแลเป็นพี่เลี้ยงที่ปรึกษาหลัก และเป็นเจ้าหน้าที่ รพ.สต.ในพื้นที่ ทำให้การประสานงาน การลงพื้นที่ติดตามเยี่ยมชุมชน หนุนเสริมการทำงานได้ดีในระดับหนึ่ง ซึ่งสภาผู้นำชุมชนสามารถเป็นผู้ตัดสินใจและดำเนินงานต่างๆในชุมชนกันเองเป็นส่วนใหญ่ แต่ยังต้องการพี่เลี้ยงช่วยให้ข้อเสนอแนะในบางประเด็นเท่านั้น
2) สมรรถนะพี่เลี้ยงใน รพ.สต. พบว่า อยู่ในขั้นที่ 3 พี่เลี้ยง รพ.สต. สามารถขับเคลื่อนงานร่วมกันระหว่าง รพ.สต. ชุมชน และภาคีได้ โดยพี่เลี้ยงหลักคือ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลนาขุนไกร สามารถหนุนเสริมให้ทีมสภาผู้นำชุมชนบ้านนาขุนไกร ร่วมเป็นคณะอนุกรรมการกองทุนหลักประกันสุขภาพตำบล อบต.นาขุนไกร และร่วมเป็นคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับตำบล (พชต.) ตำบลนาขุนไกรได้ สามารถหนุนเสริมชุมชนในการจัดทำแผนงานโครงการหรือกิจกรรมเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาสุขภาพอย่างน้อย 1 ประเด็น โดยใช้กลไกการมีส่วนร่วมจัดทำแผนงานโครงการ ระหว่างทีมสภาผู้นำชุมชน และรพ.สต. ที่สอดคล้องกับแผนปฏิบัติการด้านสาธารณสุขของ รพ.สต. บรรจุอยู่ในแผนชุมชนพึ่งตนเองของหมู่บ้านได้ ครอบคลุมทุกด้าน ทุกประเด็น (ทำเอง ทำร่วม ทำขอ)
พบว่า การสร้างทีมพี่เลี้ยงที่มีสมรรถนะได้นั้น จำเป็นต้องเปิดใจพร้อมเรียนรู้สิ่งใหม่ และต้องมีความรู้ ความเข้าใจ เรื่องแนวคิดชุมชนน่าอยู่และกลไกสภาผู้นำชุมชน และมีพื้นฐานความรู้ความเข้าใจระบบการบริการด้านสุขภาพและงานสร้างเสริมสุขภาพแบบมีส่วนร่วม และเชื่อมโยงสู่แผนสุขภาพตำบล และที่สำคัญต้องมีใจเป็นหนึ่งเดียวกับชุมชน ยึดชุมชนเป็นศูนย์กลาง และรับรู้อุปสรรค รับประโยชน์ที่ได้รับร่วมกันทั้งสองฝ่าย
3.กลไกพี่เลี้ยง รพ.สต./อปท.
1) การกำหนดการกิจของทีมพี่เลี้ยง ทั้งในการเป็นผู้พัฒนาชุมชน และภารกิจของหน่วยงาน โดยผู้อำนวยการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลนาขุนไกรและสภาผู้นำชุมชนบ้านนาขุนไกร ร่วมกันกำหนดภารกิจของการดำเนินการประเด็นหลักร่วมกันคือ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เพิ่มการคัดแยกขยะ และลดปริมาณขยะในชุมชน จึงมีการกำหนดภารกิจหลักแก่ทีมพี่เลี้ยงในการหนุนเสริมชุมชน และร่วมพัฒนาชุมชนเพื่อให้สอดคล้องกับผลลัพธ์เชิงประเด็นของชุมชนและตัวชี้วัดของหน่วยงาน คือ การจัดการปัญหาขยะในชุมชน โดยปริมาณขยะในชุมชนที่เหลือจากการคัดแยกและใช้ประโยชน์ลดลงร้อยละ 60 จากเดิม 60 กิโลกรัมต่อครัวเรือนต่อเดือน เหลือ 36 กิโลกรัมต่อครัวเรือนต่อเดือน และลดปัจจัยที่เป็นสาเหตุของการเจ็บป่วยจากโรคที่มีความสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อม ( โรคไข้เลือดออก โรคซิก้า โรคอุจจาระ ลดลง ร้อยละ 20 จากค่ามัธยฐาน 5 ปี) ตาม MOU ว่าด้วยการดำเนินงานการจัดการสุขภาพระดับปฐมภูมิ ด้วยกลไกสภาผู้นำชุมชน ภายใต้การดำเนินงานโครงการชุมชนน่าอยู่ (Model รพ.สต.) การประสานความร่วมมือกับ รพ.สต.ในการขับเคลื่อนนโยบายการจัดการขยะและสิ่งแวดล้อม GREEN & CLEAN HOSPITAL และการดำเนินงานชุมชนสิ่งแวดล้อมเข็มแข็ง ACTIVE COMMUNINY กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข
ทั้งนี้ เงื่อนไขสำคัญที่ทำให้การกำหนดการกิจของทีมพี่เลี้ยง ทั้งในการเป็นผู้พัฒนาชุมชน และภารกิจของหน่วยงาน ได้รับการยอมรับของทุกฝ่าย จำเป็นต้องรับรู้และเข้าใจตัวชี้วัดร่วม หรือเป้าหมายร่วมที่ทั้ง 2 ฝ่ายได้ประโยชน์ ซึ่งภารกิจในครั้งนี้ตอบโจทย์ในภาพรวมของตำบลนาขุนไกร ซึ่งองค์การบริหารส่วนตำบลนาขุนไกร ได้มีการลงนามบันทึกข้อตกลง MOU ว่าด้วยการจัดการขยะมูลฝอยในครัวเรือน ร่วมกับผู้นำชุมชน และหน่วยงานต่างๆในพื้นที่ทั้ง 12 หมู่บ้าน ด้วย อาทิเช่น โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลทั้ง 3 แห่งคือ รพ.สต.นาขุนไกร รพ.สต.บ้านวังพิกุล และรพ.สต.บ้านลุเต่า โรงเรียนทุกแห่งในตำบล ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยตำบลนาขุนไกร วัด เป็นต้น
2) การสื่อสารภายในทีมและหัวหน้าหน่วยงาน ประเด็นที่จำเป็นต้องสื่อสารต่อเนื่อง ประกอบด้วย ความรู้ความเข้าใจการทำงานชุมชนน่าอยู่ (โมเดล รพ.สต.) อาทิเช่น เรื่องแนวคิดชุมชนน่าอยู่และกลไกสภาผู้นำชุมชน การจัดทำแผนชุมชนพึ่งตนเอง การประเมินผลเพื่อการเรียนรู้และพัฒนา (ARE) และระบบการบริการด้านสุขภาพและงานสร้างเสริมสุขภาพแบบมีส่วนร่วม และเชื่อมโยงสู่แผนสุขภาพตำบล และออกแบบและเก็บข้อมูลสถานะสุขภาพของ รพ.สต. และข้อมูลเชิงประเด็นของทีมสภาผู้นำชุมชน รวมถึงการประสานการทำงานระหว่าง รพ.สต. สภาผู้นำชุมชนและหน่วยจัดการชุมชนน่าอยู่ภาคเหนือและภาคีในพื้นที่ตำบลนาขุนไกร
ทั้งนี้ เงื่อนไขสำคัญที่ทำให้การสื่อสารต่อเนื่อง เกิดประสิทธิผล นำไปสู่ความเข้าใจและทักษะได้นั้นจำเป็นต้อง มีการประชุมอย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง มีการหารือโครงการ สสส. และประเด็นอื่นๆในชุมชน และมีรายงานการประชุมทุกครั้ง และทุกคนสามารถเสนอความคิดเห็นในที่ประชุม มีช่องทางการสื่อสารที่พี่เลี้ยงเข้าถึงง่าย เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร ความก้าวหน้าในการทำงานทุกงานที่ชุมชนดำเนินการให้สมาชิกทีมพี่เลี้ยงรับทราบอย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง เพื่อช่วยกันวิเคราะห์จุด่อน จุดแข็งของชุมชน นำไปสู่การหนุนเสริมและแก้ไขปัญหาของชุมชนได้ทันเวลา ไม่มีความเสี่ยงระหว่างดำเนินงาน เช่น การจัดกิจกรรมตามกำหนดการ การเบิกจ่ายเงิน เอกสารการเงิน เอกสารสรุปความก้าวหน้า และการทำงานภายในทีมของสภาผู้นำชุมชน เป็นต้น
3) สภาผู้นำชุมชนเป็นผู้ตัดสินใจ และดำเนินงานต่างๆในชุมชนได้เองทั้งหมด โดยไม่ต้องพึ่งพาพี่เลี้ยง
วิธีการสื่อสารกับหัวหน้าหน่วยงานกรณีที่หัวหน้าไม่ได้เป็นพี่เลี้ยง
– รูปแบบการเรียนรู้ภายในทีม ใช้แนวทางการเรียนรู้จากการปฏิบัติจริงและมีส่วนร่วม โดยจำเป็นต้อง แผนในการหนุนเสริมการทำงานของทีมสภาผู้นำชุมชนด้วย จึงจะส่งผลต่อการเรียนรู้ภายในทีมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
– การสร้างการมีส่วนร่วมของทีมและการร่วมแก้ไขปัญหา ได้ดำเนินการโดย พี่เลี้ยง ต้องเข้าร่วมเข้าประชุมและร่วมกิจกรรมไม่น้อยกว่าร้อยละ 65 ของกิจกรรมในชุมชน และในการประชุมหรือร่วมกิจกรรม ผู้เข้าร่วมสามารถแสดงความคิดเห็น ร่วมตัดสินใจเรื่องการดำเนินงาน และเสนอแนะ พิจารณาปัญหาใหม่ๆ รวมทั้งมีการร่วมติดตามประเมินผลได้ทุกคน โดยจำเป็นต้องเปิดโอกาสให้พี่เลี้ยงและสมาชิกชุมชนเข้าประชุมและร่วมกิจกรรมไม่น้อย กว่าร้อยละ 65 และสมาชิกชุมชนทุกคน สามารถแสดงความคิดเห็นมากขึ้น หรือมีสมาชิกหน้าใหม่ร่วมแสดงความคิดเห็นมากขึ้น สมาชิกชุมชนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจมากขึ้น หรือมีสมาชิกหน้าใหม่ร่วมตัดสินใจ และสมาชิกชุมชนมีข้อเสนอแนะ หรือให้ทางเลือกใหม่ๆ ในการแก้ปัญหาชุมชนมากขึ้น และเพิ่มประสิทธิภาพการมีส่วนร่วมของทีมพี่เลี้ยงและสภาผู้นำชุมชน โดยเปิดโอกาสให้สมาชิกชุมชนมีส่วนร่วมในการติดตามประเมินผล หรือสามารถร่วมประเมินความสำเร็จของชุมชนได้ จึงจะส่งผลต่อการมีส่วนร่วมของทีมและการร่วมแก้ไขปัญหาทั้งในส่วนของทีมงานและต่อกลไกสภาผู้นำชุมชนในแต่ละหมู่บ้านได้
4.การบริหารจัดการเป้าหมายร่วมของพื้นที่
1) การกำหนดเป้าหมายร่วมกันระหว่าง รพ.สต.นาขุนไกร องค์การบริหารส่วนตำบลนาขุนไกร และสภาผู้นำชุมขน ได้มีการกำหนดเป้าหมายร่วมกัน คือ ปริมาณขยะในชุมชนที่เหลือจากการคัดแยกและใช้ประโยชน์ลดลงร้อยละ 60 จากเดิม 60 กิโลกรัมต่อครัวเรือนต่อเดือน เหลือ 36 กิโลกรัมต่อครัวเรือนต่อเดือน และลดปัจจัยที่เป็นสาเหตุของการเจ็บป่วยจากโรคที่มีความสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อม ( โรคไข้เลือดออก โรคซิก้า โรคอุจจาระ ลดลง ร้อยละ 20 จากค่ามัธยฐาน 5 ปี) โดยการกำหนดเป้าหมายร่วมกันให้เกิดการยอมรับ นำไปสู่การบรรลุเป้าหมายได้จริง จำเป็นต้อง ใช้ข้อมูลชุดเดียวกันและมีการกำหนดข้อตกลงร่วมกัน
2) การวางแผนการดำเนินงานร่วมกันระหว่าง รพ.สต.นาขุนไกร และสภาผู้นำชุมขนจากเป้าหมายร่วมที่กำหนดด้วยการรวบรวมข้อมูลปริมาณขยะทั้งหมดในครัวเรือนต่อเดือน ครัวเรือนที่มีการคัดแยกขยะก่อนทิ้งและมีการใช้ประโยชน์จากขยะที่ผ่านการคัดแยก จำนวนกิจกรรมการประชุม อบรม งานศพ งานบุญต่างๆ ของชุมชน ที่เป็นแหล่งกำเนิดขยะพลาสติกและกล่องโฟมบรรจุอาหาร ปริมาณขยะอันตรายและขยะติดเชื้อในชุมชน รวมถึงค่าดัชนีลูกน้ำยุงลายในบ้าน (House Index) HI และค่าดัชนีลูกน้ำยุงลายในภาชนะ (Container Index) CI และอัตราป่วยด้วยโรคที่มีปัจจัยที่เป็นสาเหตุของการเจ็บป่วยจากโรคที่มีความสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อม เช่น โรคไข้เลือดออก โรคซิก้า โรคอุจจาระ ลดลง ร้อยละ 20 จากค่ามัธยฐาน 5 ปี มาประมวลผล จัดเวทีประชาคมทำความเข้าใจโครงการร่วมกับสมาชิกชุมชนรวมถึงการคืนข้อมูลให้แก่สมาชิกชุมชน
ทั้งนี้ จะต้องร่วมกันวิเคราะห์จุดเสี่ยง ค้นหาปัจจัยที่ทำให้เกิดขยะ เพื่อทำแผนการปรับปรุงจุดเสี่ยงต่อการทิ้งขยะ หรือแหล่งเพาะพันธ์เชื้อโรคที่เกิดจากขยะ โดยร่วมกันออกความคิดเห็น เพื่อทำความเข้าใจร่วมกันถึงลักษณะของขยะและการเกิดโรค และร่วมกันคัดเลือกและจัดลำดับจุดเสี่ยงที่ต้องการทำการปรับปรุงแก้ไขก่อน-หลัง และกำหนดข้อตกลงร่วมของชุมชนในการแก้ไขปัญหาขยะที่ชุมชนสามารถดำเนินการได้เอง จึงจะเกิดการยอมรับ จัดแบ่งหน้าที่และ นำไปสู่การปฏิบัติได้จริง
3) การดำเนินงานและการจัดการทรัพยากรร่วมกันระหว่าง รพ.สต.นาขุนไกร รพ.สต.บ้านวังพิกุล และสภาผู้นำชุมขน จากแผนการดำเนินร่วมที่กำหนด โดยที่ผ่านมาได้จัดการทรัพยากร คือ การแบ่งปันข้อมูลร่วมกัน ด้วยการเก็บ รวบรวมข้อมูลและบันทึกผลในชุดข้อมูลแหล่งเดียวกัน เพื่อป้องกันการซ้ำซ้อนของข้อมูล หรือป้องกันการคลาดเคลื่อนของข้อมูลนั้นๆ โดยมีสิ่งที่ขาดไม่ได้หรือต้องมีเงื่อนไข คือ การออกแบบการเก็บข้อมูลชุดเดียวกัน หรือ ใช้แบบฟอร์มเดียวกัน
4) การติดตามและประเมินผลร่วมกันระหว่าง รพ.สต.นาขุนไกร รพ.สต.บ้านวังพิกุล และสภาผู้นำชุมขนเพื่อให้บรรลุเป้าหมายร่วมที่กำหนดร่วมกัน ด้วยการ ร่วมประชุมประจำเดือนของสภาผู้นำชุมชน หรือของหมู่บ้านหรือของ รพ.สต. โดยมีขั้นตอนสำคัญ คือ 1) สรุปข้อมูลเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพที่สอดคล้องกับตัวชี้วัดในผลลัพธ์ประเด็นนั้นๆ 2) สะท้อนผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริงตามระยะเวลาที่ดำเนินโครงการ 3) เปรียบผลลัพธ์ที่ได้ว่าบรรลุเป้าหมายร่วมที่กำหนดไว้หรือไม่ 4) แลกเปลี่ยนเรียนรู้สิ่งดีๆที่เกิดขึ้น และร่วมเสนอแนะแนวทางการพัฒนาให้ดีขึ้นหรือแนวทางปรับปรุงให้บรรลุเป้าหมายร่วมที่กำหนดไว้ ทั้งนี้ ทุกครั้งจำเป็นต้องมีหรือต้องใช้ ข้อมูลจริงที่เก็บรวบรวมได้มาอ้างอิงและใช้จริงเป็นรูปธรรม จึงจะเกิดประโยชน์จากรูปแบบของการติดตามและประเมินผลร่วมกันระหว่างรพ.สต. และสภาผู้นำชุมขน
5.ผลลัพธ์การเปลี่ยนแปลงของชุมชน
1) ผลลัพธ์สมรรถนะสำคัญและการปรับเปลี่ยนวิธีทำงานของพี่เลี้ยง โดยเกิดผลลัพธ์ในระยะกลางของวิธีทำงานของพี่เลี้ยง คือ พี่เลี้ยง รพ.สต. มีทักษะในการหนุนเสริมการทำงานของสภาผู้นำชุมชนได้อย่างต่อเนื่องและสามารถขับเคลื่อนงานระหว่าง รพ.สต. อปท.และภาคีในชุมชนได้ ผ่านการถ่ายทอดแนวคิดชุมชนน่าอยู่และหนุนเสริมชุมชนให้เกิดกลไกสภาผู้นำชุมชน สนับสนุนกระบวนการจัดทำแผนชุมชนพึ่งตนเอง ร่วมออกแบบระบบการบริการด้านสุขภาพ และงานสร้างเสริมสุขภาพแบบมีส่วนร่วม และเชื่อมโยงสู่แผนสุขภาพตำบล หนุนเสริมทีมสภาผู้นำชุมชนร่วมเป็นคณะอนุกรรมการกองทุนหลักประกันสุขภาพตำบล หรือคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับตำบล (พชต.) เกิดการขับเคลื่อนนโยบายการจัดการขยะและสิ่งแวดล้อม GREEN & CLEAN HOSPITAL และขับเคลื่อนชุมชนสิ่งแวดล้อมเข็มแข็ง ACTIVE COMMUNINY ร่วมกัน มีการจัดทำแผนงานโครงการหรือกิจกรรมเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาสุขภาพอย่างน้อย 1 ประเด็น โดยใช้กลไกการมีส่วนร่วมจัดทำแผนงานโครงการ ระหว่างทีมสภาผู้นำชุมชน และ รพ.สต. ที่สอดคล้องกับแผนปฏิบัติการด้านสาธารณสุขของ รพ.สต. บรรจุอยู่ในแผนชุมชนพึ่งตนเอง โดยต้องมีหรือต้องใช้ แนวคิดสาธารณสุขมูลฐานกับการพัฒนาระบบบริการปฐมภูมิ (นโยบาย 3 หมอ) มาประยุกต์ร่วมด้วยจึงจะเกิดสมรรถนะได้ตามที่คาดหวัง ให้สอดคล้องกับบันไดผลลัพธ์ของโมเดล รพ.สต.
2) ผลลัพธ์สมรรถนะของกลไกสภาผู้นำชุมชน โดยเกิดผลลัพธ์ในระยะกลางของวิธีทำงานของสภาผู้นำชุมชน คือ สภาผู้นำชุมชนมีสมรรถนะในการเสริมพลังชุมชนและขับเคลื่อนงานตามแผนชุมชนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในชุมชนได้ โดยต้องมีหรือต้องใช้ เป้าหมายและข้อตกลงร่วมกัน ผ่านการประชุมอย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง มีการหารือโครงการ สสส. และประเด็นอื่นๆในชุมชน และมีรายงานการประชุมทุกครั้ง โดยมีผู้เข้าร่วมประชุมไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของจำนวนสมาชิกสภาผู้นำชุมชน ทุกคนสามารถเสนอความคิดเห็นในที่ประชุมได้ สภาผู้นำชุมชนเป็นผู้ตัดสินใจ และดำเนินงานต่างๆในชุมชนได้เองทั้งหมด โดยไม่ต้องพึ่งพาพี่เลี้ยง สภาผู้นำชุมชนสามารถดำเนินงานได้ตามบทบาทหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย มีการติดตามประเมินผลการดำเนินงานและคืนข้อมูลให้แก่ชุมชน และมีการปรับปรุงการดำเนินงานให้เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนด สภาผู้นำชุมชนมีการบริหารจัดการงบประมาณโครงการ สสส. และโครงการอื่นของชุมชน ด้วยความโปร่งใส จัดทำบัญชีรับจ่ายและแจ้งข้อมูลให้สมาชิกในชุมชนทราบทุกเดือน สภาผู้นำชุมชนสื่อสารข้อมูลข่าวสารความก้าวหน้าในการทำงานทุกงานที่ชุมชนดำเนินการให้สมาชิกชุมชนรับทราบอย่างน้อยเดือนละครั้ง สมาชิกสภาผู้นำชุมชนร้อยละ 100 จำนวน 16 คน และพี่เลี้ยง รพ.สต.ได้รับการพัฒนาศักยภาพทักษะการจัดการขยะและการทำงานของกลไกลสภาผู้นำชุมชน จำนวน 2 ครั้ง ในเรื่องเครื่องมือของชุดโครงการชุมชนน่าอยู่ การขับเคลื่อนชุมชนสิ่งแวดล้อมเข้มแข็ง การขับเคลื่อนการป้องกันการบาดเจ็บทางถนน ตำบลนาขุนไกรและการเชื่อมแผนงานโครงการของแผนชุมชนพึ่งตนเองกับแผนปฏิบัติการด้านสาธารณสุขของรพ.สต.และแผนพัฒนาตำบลนาขุนไกร ของอบต.นาขุนไกร มีแผนงาน/โครงการ ที่จะดำเนินงานในรอบปีต่อไป โดยเชื่อมโยงจากโครงการเดิมและเชื่อมต่อกับแผนงาน/โครงการของรพ.สต.เพื่อจัดการระบบบริการสุขภาพ จำนวน 5 ประเด็น คือ 1. ขยะ 2. อุบัติเหตุ 3. โควิด-19 4. ไข้เลือดออก 5. โรคเรื้อรัง ที่สอดคล้องกับแผนสุขภาวะตำบลผ่านแผนชุมชนพึ่งตนเอง และมีแนวทางการเชื่อมแผนกับ รพ.สต.นาขุนไกร อบต.นาขุนไกร โรงเรียนขุนไกรพิทยาคม และกศน.ตำบลนาขุนไกร พบระดับความสุขของประชาชนในชุมชนอายุ 15 ปีขึ้นไปเพิ่มขึ้นจากเดิม ถ้าตัวเลข 0 10 ร้อยละ 50 จากระดับเดิม โดยประชากร 299 คน พบระดับความสุขของประชาชนในชุมชนอายุ 15 ปีขึ้นไปเพิ่มขึ้น 8.86 จากระดับเดิม 7.54 คะแนน จึงจะเกิดสภาที่มีสมรรถนะได้ตามที่คาดหวัง ที่สอดคล้องกับบันไดผลลัพธ์และ ความเข้มแข็ง 9 มิติได้
3) ผลลัพธ์การเปลี่ยนแปลงของประเด็นสุขภาพที่ดำเนินการร่วมกัน คือ ประเด็นการจัดการขยะ โดยเกิดผลลัพธ์ในระยะกลาง โดยครัวเรือนกลุ่มเป้าหมายร้อยละ 100 จำนวน 100 ครัวเรือน มีการคัดแยกขยะและใช้ประโยชน์จากขยะที่ผ่านการคัดแยก มีการนำขยะอินทรีย์มาทำปุ๋ยหมัก/น้ำหมักชีวภาพ กิจกรรมการประชุม อบรม งานศพ งานบุญต่างๆ ของชุมชน ลดการใช้ขยะพลาสติกและกล่องโฟมบรรจุอาหาร ร้อยละ 56.25 จำนวน 9 งานจาก 16 งานต่อปี ครัวเรือนในชุมชนลดการเผาขยะ โดยการทำธนาคารน้ำใต้ดินระบบปิดจากเศษขยะ อย่างน้อยร้อยละ 53 จำนวน 9 ครัวเรือนจาก 17 ครัวเรือน และร้อยละ 100 ขยะอันตรายและขยะติดเชื้อในชุมชนได้รับการจัดการอย่างถูกต้อง เกิดครัวเรือนตัวอย่าง จำนวน 16 ครัวเรือน เกิดการจัดทำธนาคารน้ำใต้ดินจากเศษขยะเพื่อลดการเผาขยะ แก้ปัญหาน้ำเน่าเสียจากครัวเรือน แก้ปัญหาน้ำท่วมขัง แหล่งเพาะพันธ์ยุงลาย แมลงวันและกลิ่นเหม็น จำนวน 16 ครัวเรือน
ผลการสำรวจครัวเรือน 100 ครัวเรือนพบค่าดัชนีลูกน้ำยุงลายในบ้าน HI เท่ากับ 5 และค่าดัชนีลูกน้ำยุงลายในภาชนะ CI= 4.43 ส่งผลให้ปริมาณขยะในชุมชนที่เหลือจากการคัดแยกและใช้ประโยชน์ลดลงร้อยละ 63.3 จากเดิม 60 กิโลกรัมต่อครัวเรือนต่อเดือน เหลือ 22 กิโลกรัมต่อครัวเรือนต่อเดือน และปัจจัยที่เป็นสาเหตุของการเจ็บป่วยจากโรคที่มีความสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อม โรคไข้เลือดออก โรคซิก้า โรคอุจจาระ ลดลง ร้อยละ 20 จากค่ามัธยฐาน 5 ปี ตัวชี้วัดร่วม รพ.สต. โดยช่วงเดือนตุลาคม 2564 – กันยายน 2565 มีอัตราป่วยเท่ากับ 0 ไม่พบผู้ป่วย และสภาผู้นำชุมชนและรพ.สต.นาขุนไกร เกิดการขับเคลื่อนนโยบายการจัดการขยะและสิ่งแวดล้อม และขับเคลื่อนชุมชนสิ่งแวดล้อมเข้มแข็งร่วมกัน ซึ่งมีการประเมินตนเองอยู่ในระดับ ความเข้มแข็งอย่างยั่งยืน ผ่านการประเมินทั้ง 11 ข้อ โดยต้องมีหรือต้องใช้ข้อมูลชุดเดียวกันและมีการกำหนดข้อตกลงร่วมกัน จึงจะเกิดผลลัพธ์ได้ตามที่กำหนดไว้ในวัตถุประสงค์และตัวชี้วัดของโครงการระดับชุมชน
หมายเหตุ***ภาพกิจกรรมการดำเนินงานของสภาผู้นำชุมชนบ้านนาขุนไกร
(ตัวอย่าง)
บทเรียน การดำเนินงานบ้าน………………………………………………………
โมเดล รพ.สต. พื้นที่ตำบล AAAAAAAA
โดย…………………………………….
ทีมสนับสนุนวิชาการ หน่วยจัดการชุมชนน่าอยู่ภาคเหนือ
- บริบท……………………………………………..
1) การหนุนเสริมของหน่วยจัดการต่อพี่เลี้ยง รพ.สต. ให้มีสมรรถนะในการดำเนินงาน ? ทั้งนี้ จำเป็นต้องหรือมีเงื่อนไขสำคัญ ..หน่วยจัดการภาค(อิสาน) มีคณะทำงานหรือที่เขาเรียก Admin ต้องเป็น coaching ของพี่เลี้ยง รพ.สต. (ช่วยสร้างความเข้าใจ เปลี่ยน mind set การใช้ข้อมูล วิธีการทำงาน ลงพื้นที่ร่วม ทำให้ดู สอนหน้างาน ช่วยวิเคราะห์ช่องว่าง การประชุมบ่อยๆ)
2) การดำเนินงานของกลไกการดำเนินงานพี่เลี้ยง รพ.สต. ในการหนุนเสริมกลไกสภาผู้นำชุมชน ? พื้นที่ รพ.สต.รับผิดชอบทั้งหมด 8 หมู่บ้าน มี จนท.รพ.สต.4 คน เป็นบทบาทพี่เลี้ยงโมเดล รพ.สต.3 คน โดย ผอ. รพ.สต. รับดูแล 5 บ้าน เจ้าหน้าที่ คนที่ 2 ดูแล 2 บ้าน เจ้าหน้าที่ คนที่ 3 ดูแล 1 บ้าน โดย บทบาทหนุนเสริมข้อมูลด้านสุขภาพ ข้อมูลวิชาการ ประสานการทำงานร่วมของแต่ละบ้าน สนับสนุนการแก้ไขปัญหาของแต่ละบ้าน พัฒนาการก่อตัวของสภา
ทั้งนี้ จำเป็นต้องหรือมีเงื่อนไขสำคัญ พี่เลี้ยง รพ.สต.ต้องเป็นคนในพื้นที่ในเขตบริการ มีประสบการณ์ทำงานร่วมกับ สสส. มาก่อน ประมาณ 8 ปี (2557)
3) เงื่อนไขและปัจจัยความสำเร็จและไม่สำเร็จในแต่ละช่วง ของการดำเนินงานชุมชนน่าอยู่โมเดล รพ.สต. ในพื้นที่ตำบล ทั้งนี้ จำเป็นต้องหรือมีเงื่อนไขสำคัญ ..ด้วยกลยุทธ์อย่างไร/ด้วยเงื่อนไข/เทคนิค/ลำดับก่อนหลัง/ช่วงเวลา/ครั้งหรือความถี่ จุดเด่นของการดำเนินงานตามเป้าหมายของพื้นที่ ที่ควรส่งเสริมต่อเนื่อง และประเด็นที่ยังต้องปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้น จะต้องปรับปรุงอย่างไรจึงจะบรรลุเป้าหมายความสำเร็จ ภายใต้การดำเนินงานคามโมเดล รพ.สต.ในพื้นที่ตำบล?
ทั้งนี้ จำเป็นต้องหรือมีเงื่อนไขสำคัญ ..
– ผอ.รพ.สต.ต้องเป็นแกนนำทีมพี่เลี้ยง รพ.สต. และมีการแบ่งพื้นที่รับผิดชอบชัดเจน และร่วมเป็นสภาผู้นำชุมชนมาก่อน
– รพ.สต.มีการใช้ข้อมูลในการวิเคราะห์ปัญหา ยืนยันความถูกต้องตั้งแต่ระดับครัวเรือน นำข้อมูลมาสะท้อนร่วมกัน เช่น การคัดแยกขยะ ผ่านการส่งทางไลน์ว่าเป็นใคร ที่ไหน แยก ไม่แยกขยะไปยังตัวบุคคล
– รพ.สต.มีการเชื่อมประสานงานร่วมกับ อปท. เช่น รถเขียว(ขนขยะ) เป็นผู้ชั่งของตำบลและรอยต่อหมู่บ้านที่ไม่มีเจ้าภาพ รถเขียวเป็นผู้ส่งข้อมูลแก่สภาฯแบบเรลไทม์ พร้อมภาพ
– ผอ.รพ.สต.และหมู่บ้านบางส่วน ต้องมีประสบการณ์ทำงานร่วมกับ สสส.มาก่อน และอยู่เขตบริการของ รพ.สต.
- แลกเปลี่ยนข้อมูลบทเรียนการดำเนินงานที่ได้จากการลงพื้นที่ มาเติมเต็มกับกระบวนการทำงาน และบทเรียนการดำเนินงานภายใต้โมเดล รพ.สต.ผ่านตัวอย่าง รพ.สต.ที่หน่วยจัดการภาคได้จัดทำไว้
1) ข้อเรียนรู้จากการลงพื้นที่ของแต่ละหน่วยจัดการ เพื่อนำไปปรับปรุงการทำงานในพื้นที่ของตนเอง?
1.ด้าน/การก่อตัวได้เรียนรู้ว่า หากจะดำเนินการต่อ ต้องคัดเลือกพี่เลี้ยง รพ.สต.ต้องเป็น ผอ.รพ.สต.และทีมงานทุกคนที่สมัครใจร่วมกัน โดยมี ผอ.รพ.สต.เป็นคนในพื้นที่หรือมีแรงจูงใจร่วม (ค่าตอบแทน) พื้นที่ในเขตบริการต้องมีชุมชนที่เคยมีประสบการณ์โครงการชุมชนน่าอยู่และมีสภาฯที่เข้มแข็ง เป็นตัวอย่างได้. ( เช่น เทพคีรีมี 4 บ้าน จาก 8 บ้าน=ไม่น้อย 50 %) การก่อตัวของสภาผู้นำชุมชนมาจาก อสม.เป็นหลักและ อสม.ไปชักชวนกลุ่มอื่นๆ (ส่วนใหญ่ผู้นำเป็น อสม.ด้วย)
2.ด้าน/การเกิดสมรรถนะพี่เลี้ยงใหม่ ต้องลงไปร่วมเรียนรู้จากการลงมือทำกับทีมงานหรือหัวหน้าพี่เลี้ยง(ผอ.รพ.สต.)
3.ด้าน/การกำหนดบทบาท/ภารกิจพี่เลี้ยงได้เรียนรู้ว่า แบ่งหมู่บ้านในการหนุนเสริมการทำงาน ตามประสบการณ์ของพี่เลี้ยง
4.ด้าน./การสื่อสาร………………………………………………………………………………………………………………………….
5.ด้าน./การเรียนรู้ภายในทีม………………………………………………………………………………………………………………
6.ด้าน/การสร้างการมีส่วนร่วมได้เรียนรู้ว่า พี่เลี้ยงให้โอกาสตัดสินใจแต่หากเชิงวิชาการพี่เลี้ยงให้คำปรึกษา ร่วมให้ข้อมูล คืนข้อมูล //ร่วมแก้ไขสภาด้วยกัน ไม่แบ่งหน้าที่เฉพาะแต่ช่วยกันแก้ปัญหา
7.ด้าน/การกำหนดเป้าหมายร่วม ระหว่างพี่เลี้ยง ที่ร่วมกับ ภาคี ได้เรียนรู้ว่า มีแผนปฏิบัติการ มีกำหนดเป้าหมายร่วมกัน//ออกแบบและวางแผนใช้ข้อมูลร่วมกับสภาในการลงมือปฏิบัติ
8.ด้าน/การวางแผนร่วมกันของพี่เลี้ยงกับสภาผู้นำชุมชน………………………………………………………………………………..
9.ด้าน/การดำเนินการจัดการทรัพยากรร่วมของพี่เลี้ยงกับสภาผู้นำชุมชน……………………………………………………………
10.ด้าน/การติดตามและประเมินผลร่วมของพี่เลี้ยงกับสภาผู้นำชุมชนได้เรียนรู้ว่า ติดตามร่วมกันโดยใช้ข้อมูลจากสภา อสม.ในแต่ละคุ้ม
11.ด้านสมรรถนะสำคัญและการปรับเปลี่ยนวิธีการดำเนินงานของพี่เลี้ยงได้เรียนรู้ว่า ยึดเป้าร่วมเป็นสิ่งสำคัญ คือสิ่งที่ต้องคนทำร่วมกัน เช่น จัดการขยะเป็นวาระแห่งชาติ เป็นประเด็นที่ชาวบ้านรับรู้
12.ด้านสมรรถนะสำคัญของสภาผู้นำชุมชนได้เรียนรู้ว่า เก็บข้อมูลได้ คืนข้อมูลได้ วางแผนร่วมได้ แบ่งพื้นที่ดูแลชัดเจน บูรณาการกับงานของ รพ.สต.ได้ ผ่านเวทีประชุมสัญจรระดับตำบล
13.ด้านผลลัพธ์การเปลี่ยนแปลงสุขภาวะได้เรียนรู้ว่า กลุ่มเสี่ยงได้รับการคัดกรอง ทำตนเป็นแบบอย่างในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ชักชวนกลุ่มเสี่ยงเข้าร่วมปรับเปลี่ยนพฤติกรรม สร้างความตระหนักว่า ความเสี่ยง NCD ไม่ใช่เรื่องหมอ เป็นเรื่องของสภา