บทเรียนโครงการชุมชนน่าอยู่: โมเดล รพ.สต.นาขุนไกร พื้นที่บ้านเขาดินไพรวัน ม.4 จ.สุโขทัย

บทเรียนการดำเนินงานของกลไกการดำเนินงานโครงการชุมชนน่าอยู่ โมเดล รพ.สต. (รพ.สต.นาขุนไกร)

พื้นที่โครงการชุมชนน่าอยู่ หมู่บ้านเขาดินไพรวัน หมู่ที่ 4 ตำบลนาขุนไกร อำเภอศรีสำโรง จังหวัดสุโขทัย

โดย นายพิชญ์ทิภัทร  รัตนจันทร์กุล

ทีมสนับสนุนวิชาการ หน่วยจัดการชุมชนน่าอยู่ภาคเหนือ

1.บริบทของพื้นที่

เดิมบ้านเขาดินไพรวัน หมู่ที่ 4 ตำบลนาขุนไกร อำเภอศรีสำโรง จังหวัดสุโขทัย เป็นหมู่ที่ 8 ตำบลนาขุนไกร ต่อมาแยกหมู่บ้านใหม่เนื่องจากประชากรหนาแน่น มาเป็นหมู่ที่ 4 ตำบลนาขุนไกร แต่รวมตัวกันเป็นกลุ่มๆหลายกลุ่มหมู่บ้านเรียกต่างกันไป เช่น บ้านหนองไผ่ , คลองบง , ทับกลาง , หนองสะแก , ห้วยเป็ง , หนองเสือ และเขาดินไพรวัน เป็นจุดศูนย์กลางจึงได้ตั้งชื่อหมู่บ้านนี้ และปัจจุบันมีนายดาวรุ่ง จั่นจีน เป็นกำนัน  บ้านเขากินไพรวันมีครัวเรือนทั้งสิ้น  383  ครัวเรือน ประชากรทั้งหมด 1,045 คน แยกเป็น ชาย จำนวน 518 คน  หญิง จำนวน  527 คน

ปัญหาก่อนดำเนินโครงการ จากการสำรวจปัจจัยกำหนดสุขภาพ และความไม่น่าอยู่ของชุมชนบ้านเขาดินไพรวัน จำนวน 280 ครัวเรือน พบปัญหาความไม่น่าอยู่ที่เป็นมติเอกฉันท์ที่ทำให้คนในชุมชนคัดเลือกที่จะแก้ไขปัญหา ได้แก่ ขยะในครัวเรือนและขยะภาคเกษตรกรรมจากการเลี้ยงสัตว์ ซึ่งมีสถานการณ์ปัญหาดังนี้

ประชาชน จำนวน 152 ครัวเรือน ไม่มีการคัดแยกขยะ และจำนวน 128 ครัวเรือนมีการจัดการขยะด้วยวิธีเผากลางแจ้ง โดยมีปริมาณขยะภาคครัวเรือนที่ไม่ได้คัดแยกก่อนทิ้งเลย เฉลี่ย 85 กิโลกรัมต่อเดือนต่อครัวเรือน แบ่งออกเป็นขยะทั่วไป 25 กิโลกรัมต่อเดือนต่อครัวเรือน ขยะอินทรีย์ 50 กิโลกรัมต่อเดือนต่อครัวเรือน และประชาชนจำนวน 160 ครัวเรือนมีการเลี้ยงสัตว์  (เลี้ยงวัว) โดยแบ่งออกเป็นเลี้ยงแบบมีคอกภายในชุมชน จำนวน 54 ครัวเรือน เลี้ยงแบบมีคอกนอกชุมชน (ไร่ นา) จำนวน 106 ครัวเรือน ทำให้มีขยะภาคการเกษตรจากการเลี้ยงสัตว์แบบมีคอกภายในชุมชน เฉลี่ย 800 กิโลกรัมต่อเดือนต่อครัวเรือน  แบ่งออกเป็น ขยะสิ่งปฏิกูลจากการเลี้ยงสัตว์ 500 กิโลกรัมต่อเดือนต่อครัวเรือน  และขยะอินทรีย์จากการเลี้ยงสัตว์ 300 กิโลกรัมต่อเดือนต่อครัวเรือน และจำนวน 58 ครัวเรือนมีการใช้ประโยชน์จากขยะ เช่น การนำเศษอาหารมาทำปุ๋ยหมักชีวภาพ การนำขวดพลาสติกมาทำกระถางต้นไม้ขนาดเล็ก เพื่อตกแต่งบริเวณบ้าน เป็นต้น และยังมีการใช้กล่องโฟมบรรจุอาหารในกิจกรรมการประชุม อบรม งานศพ งานบุญต่างๆ ของชุมชน เฉลี่ย 30 งานต่อปี และมีพื้นที่สาธารณะในชุมชนที่เสี่ยงต่อการทิ้งขยะ จำนวน 4 จุด คือ ข้างวัดเขาดินทางเข้าสวนรุกชาติ สามแยกบ้านหนองไผ่ ริมถนนเส้นหลัก และบ่อดินเขาม่าน เป็นต้น

จากสถานการณ์ปัญหาขยะ ทำให้เกิดผลกระทบที่เกิดจากปัญหาขยะ ได้แก่ ผลกระทบด้านสุขภาพ มีผู้ป่วยโรคอุจจาระร่วง จำนวน 21 คน มีผู้ป่วยโรคทางผิวหนัง จำนวน 110 ครั้ง และได้รับบาดเจ็บและเจ็บป่วยจากขยะอันตรายและขยะเป็นพิษ เช่น ถูกบาด ทิ่มแทง ระคายเคือง ผื่นแพ้ฉับพลัน ผลกระทบด้านสังคม มีการร้องเรียน ทะเลาะวิวาท เรื่องการทิ้งขยะในพื้นที่สาธารณะ ขยะส่งกลิ่นเหม็น จำนวน  12 ครั้ง ผลกระทบด้านเศรษฐกิจ เสียค่าใช้จ่ายจากการรักษาอาการบาดเจ็บหรือเจ็บป่วยจากขยะ และผลกระทบสิ่งแวดล้อม มีหมอกควันจากการเผาขยะ เป็นแหล่งเพาะพันธุ์สัตว์นำโรค และแหล่งสะสมเชื้อโรคอื่นๆ ครัวเรือนสกปรก ไม่น่ามอง ไม่น่าอยู่ ไม่มีความสุข

ทุนศักยภาพของชุมชน บ้านเขาดินไพรวัน หมู่ที่ 4 ตำบลนาขุนไกร มีทุนเดิมทั้งกรรมการหมู่บ้าน ปราชญ์ชาวบ้าน ความรู้ วัฒนธรรม ภาคีเครือข่าย ทรัพยากรสิ่งแวดล้อม กองทุนชุมชน แกนนำ ฐานข้อมูลชุมชนต่างๆที่สำคัญ เช่น ทุนทางสังคม ช่วยเหลือเกื้อกูล ขนบธรรมเนียมประเพณี ภูมิปัญญาที่ดี  ทุนทางการศึกษา มีโรงเรียนขุนไกรพิทยาคมเป็นโรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดเล็กประจำตำบล ที่เป็นศูนย์การเรียนรู้ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ด้านการศึกษา พัฒนาผู้เรียนให้เป็นคนดี มีคุณธรรม จริยธรรม ดำรงตนในสังคมอย่างมีความสุข และที่สำคัญที่สุดคือ การสำนึกรักษ์และตอบแทนคุณบ้านเกิด ทุนทางเศรษฐกิจ มีการออมเงินกับกลุ่มชุมชน มีการรวมตัวจัดตั้งกลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงวัว มีตลาดค้าขายวัวประจำตำบลและพื้นที่มีต้นไม้กวาดจำนวนมาก เกิดการจัดตั้งวิสาหกิจชุมชน กลุ่มไม้กวาดดอกหญ้า ทุนทางทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตำบลนาขุนไกรเป็นพื้นที่ราบและสลับเขา มีพื้นที่ที่เป็นเจ้าของเพียงพอต่อการประกอบอาชีพต่างๆ มีพื้นที่สาธารณะใช้ประโยชน์ มีป่าชุมชน มีคลองสาธารณะ และป่าชุมชน เขตพื้นที่อุทยาน เขตสงวนพันธ์สัตว์ป่า ทุนทางความมั่นคงและความสงบเรียบร้อย มีจิตอาสา มีการจัดตั้งแกนนำชุมชนในการดูแลและป้องกันและรักษาทรัพย์สินของประชาชน การอยู่เวรยามในการป้องกันอุบัติเหตุในช่วงเทศกาล การปฏิบัติหน้าที่เฝ้าระวังและป้องกันควบคุมโรคระบาดที่สำคัญ เช่น ไข้เลือดดอก โรคไวรัสโคโรน่า โควิด-19 เป็นต้น ทุนทางการบริหารจัดการ มีองค์การบริหารส่วนตำบลนาขุนไกรได้รับรางวัล อปท.ที่มีการบริหารจัดการที่ดี มีเครื่องมือในการจัดเก็บบันทึกข้อมูล และสนับสนุนการบริหารจัดการด้านต่างๆของหมู่บ้านเป็นอย่างดี และจากประสบการณ์ในการทำกิจกรรมด้วยกระบวนการมีส่วนร่วมของคนในชุมชนร่วมกับหน่วยงานต่างๆในตำบล อาทิ องค์การบริหารส่วนตำบลนาขุนไกร โรงเรียนขุนไกรพิทยาคม โรงเรียนบ้านเขาดินไพรวัลย์ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลนาขุนไกร ศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนตำบลนาขุนไกร เป็นต้น ทำให้ผู้นำชุมชนและแกนนำกลุ่มต่างๆเกิดเรียนรู้ร่วมกัน สามารถทำงานร่วมกันได้เป็นอย่างดี อาทิเช่น การทบทวนแผนชุมชนพึ่งตนเอง การสร้างการมีส่วนร่วมในชุมชน และการใช้เวทีประชุมร่วมกับภาคีเครือข่าย แลกเปลี่ยนประสบการณ์การดำเนินงานในแต่ละประเด็น เพื่อเสริมพลัง ชื่นชมผลงานที่บรรลุวัตถุประสงค์ ร่วมปรึกษา แนวทางแก้ไขปัญหา เพื่อนำไปสู่การประเมินผลสำเร็จในข้อมูลเชิงประจักษ์

2.การก่อตัวของกลไกพี่เลี้ยง รพ.สต./อปท.

1) จำนวนพีเลี้ยงใน รพ.สต. การจัดโครงสร้างทีมพี่เลี้ยง ชุมชนบ้านเขาดินไพรวัน ขับเคลื่อนโครงการภายใต้ประเด็นการจัดการจุดเสี่ยงและพฤติกรรมเสี่ยงเพื่อป้องกันอุบัติเหตุทางถนนในชุมชน โดยมีพี่เลี้ยง จำนวนทั้งหมด 8 คน ร่วมเป็นที่ปรึกษาขับเคลื่อนโครงการ แบ่งออกเป็น 1) สภาผู้นำชุมชนเดิม หรือ Super Coach จากบ้านวังขอนงุ้น คือนายสมประสงค์ ยาใจ และมีสภาผู้นำชุมชนใหม่ หรือ Super Coach จำนวน 2 คน คือ นางสาวณัฐนิชา  จั่นจีน รองนายกองค์การบริหารส่วนตำบลนาขุนไกรและ นายศุภกร  ปาอาภร ประธานอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านนาขุนไกร 2) พี่เลี้ยงจากโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลนาขุนไกร คือ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลนาขุนไกร นายพิชญ์ทิภัทร รัตนจันทร์กุล (นักวิชาการสาธารณสุขชำนาญการ) รับผิดชอบเป็นหัวหน้าทีมพี่เลี้ยง และมีพี่เลี้ยงเครือข่ายสาธารณสุข ได้แก่ นางสาวธีร์วราภัทร ทิมทอง นักวิชาการสาธารณสุข สำนักงานสาธารณสุขอำเภอทุ่งเสลี่ยม รับผิดชอบดูแลเป็นพี่เลี้ยงที่ปรึกษาหลัก และมีพี่เลี้ยงใหม่ คอยหนุนเสริมการทำงานต่อเนื่อง จำนวน 3 คน คือ นักวิชาการสาธารณสุข สำนักงานสาธารณสุขอำเภอศรีสำโรง จำนวน 2 คน และนักวิชาการสาธารณสุข องค์การบริหารส่วนตำบลนาขุนไกร จำนวน 1 คน

โดยการจัดโครงสร้างทีมพี่เลี้ยง และการบริหารจัดการภายในทีม ให้เกิดความคล่องตัว เกิดรูปธรรมในการหนุนเสริมสภาผู้นำชุมชนได้นั้น จำเป็นต้องมีพี่เลี้ยง รพ.สต.ในพื้นที่เป็นพี่เลี้ยงหลัก ในการหนุนเสริมการทำงานที่ต่อเนื่อง ซึ่งบ้านเขาดินไพรวัน หมู่ที่ 4 มีพี่เลี้ยงโมเดล รพ.สต.หลัก คือ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลนาขุนไกร นายพิชญ์ทิภัทร รัตนจันทร์กุล (นักวิชาการสาธารณสุขชำนาญการ) และมีนางสาวธีร์วราภัทร ทิมทอง นักวิชาการสาธารณสุข สำนักงานสาธารณสุขอำเภอทุ่งเสลี่ยม รับผิดชอบดูแลเป็นพี่เลี้ยงที่ปรึกษาหลัก แต่ก็พบว่า พี่เลี้ยงที่ปรึกษาหลักไม่ใช่เจ้าหน้าที่ รพ.สต.ในพื้นที่ ทำให้การประสานงาน การลงพื้นที่ติดตามเยี่ยมชุมชน หนุนเสริมการทำงานได้ไม่เต็มที่ ดังนั้นสภาผู้นำชุมชนจึงเป็นผู้ตัดสินใจและดำเนินงานต่างๆในชุมชนกันเองเป็นส่วนใหญ่ แต่ยังต้องการพี่เลี้ยงช่วยให้ข้อเสนอแนะในบางประเด็นเท่านั้น

2) สมรรถนะพี่เลี้ยงใน รพ.สต. พบว่า อยู่ในขั้นที่ 3 พี่เลี้ยง รพ.สต. สามารถขับเคลื่อนงานร่วมกันระหว่าง รพ.สต. ชุมชน และภาคีได้ โดยพี่เลี้ยงหลักคือ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลนาขุนไกร สามารถหนุนเสริมให้ทีมสภาผู้นำชุมชนบ้านเขาดินไพรวัน ร่วมเป็นคณะอนุกรรมการกองทุนหลักประกันสุขภาพตำบล อบต.นาขุนไกร และร่วมเป็นคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับตำบล (พชต.) ตำบลนาขุนไกรได้  สามารถหนุนเสริมชุมชนในการจัดทำแผนงานโครงการหรือกิจกรรมเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาสุขภาพอย่างน้อย 1 ประเด็น โดยใช้กลไกการมีส่วนร่วมจัดทำแผนงานโครงการ ระหว่างทีมสภาผู้นำชุมชน และรพ.สต. ที่สอดคล้องกับแผนปฏิบัติการด้านสาธารณสุขของ รพ.สต. บรรจุอยู่ในแผนชุมชนพึ่งตนเองของหมู่บ้านได้ ครอบคลุมทุกด้าน ทุกประเด็น (ทำเอง ทำร่วม ทำขอ)

พบว่า การสร้างทีมพี่เลี้ยงที่มีสมรรถนะได้นั้น จำเป็นต้องเปิดใจพร้อมเรียนรู้สิ่งใหม่ และต้องมีความรู้ ความเข้าใจ เรื่องแนวคิดชุมชนน่าอยู่และกลไกสภาผู้นำชุมชน และมีพื้นฐานความรู้ความเข้าใจระบบการบริการด้านสุขภาพและงานสร้างเสริมสุขภาพแบบมีส่วนร่วม และเชื่อมโยงสู่แผนสุขภาพตำบล และที่สำคัญต้องมีใจเป็นหนึ่งเดียวกับชุมชน ยึดชุมชนเป็นศูนย์กลาง และรับรู้อุปสรรค รับประโยชน์ที่ได้รับร่วมกันทั้งสองฝ่าย

3.กลไกพี่เลี้ยง รพ.สต./อปท.

1) การกำหนดการกิจของทีมพี่เลี้ยง ทั้งในการเป็นผู้พัฒนาชุมชน และภารกิจของหน่วยงาน โดยผู้อำนวยการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลนาขุนไกรและสภาผู้นำชุมชนบ้านเขาดินไพรวัน ร่วมกันกำหนดภารกิจของการดำเนินการประเด็นหลักร่วมกันคือ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เพิ่มการคัดแยกขยะ และลดปริมาณขยะในชุมชน จึงมีการกำหนดภารกิจหลักแก่ทีมพี่เลี้ยงในการหนุนเสริมชุมชน และร่วมพัฒนาชุมชนเพื่อให้สอดคล้องกับผลลัพธ์เชิงประเด็นของชุมชนและตัวชี้วัดของหน่วยงาน คือ การจัดการปัญหาขยะในชุมชน โดยปริมาณขยะในครัวเรือนที่ต้องกำจัดหลังจากการคัดแยกและใช้ประโยชน์ลดลง จาก 80 กิโลกรัมต่อครัวเรือนต่อเดือนเหลือ 40 กิโลกรัมต่อครัวเรือนต่อเดือน คิดเป็นร้อยละ 50 ของปริมาณขยะเดิม และลดปัจจัยที่เป็นสาเหตุของการเจ็บป่วยจากโรคที่มีความสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อม ( โรคไข้เลือดออก โรคซิก้า โรคอุจจาระ ลดลง ร้อยละ 20 จากค่ามัธยฐาน 5 ปี) ตาม MOU ว่าด้วยการดำเนินงานการจัดการสุขภาพระดับปฐมภูมิ ด้วยกลไกสภาผู้นำชุมชน ภายใต้การดำเนินงานโครงการชุมชนน่าอยู่ (Model รพ.สต.) การประสานความร่วมมือกับ รพ.สต.ในการขับเคลื่อนนโยบายการจัดการขยะและสิ่งแวดล้อม GREEN & CLEAN HOSPITAL และการดำเนินงานชุมชนสิ่งแวดล้อมเข็มแข็ง ACTIVE COMMUNINY  กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข

ทั้งนี้ เงื่อนไขสำคัญที่ทำให้การกำหนดการกิจของทีมพี่เลี้ยง ทั้งในการเป็นผู้พัฒนาชุมชน และภารกิจของหน่วยงาน ได้รับการยอมรับของทุกฝ่าย จำเป็นต้องรับรู้และเข้าใจตัวชี้วัดร่วม หรือเป้าหมายร่วมที่ทั้ง 2 ฝ่ายได้ประโยชน์ ซึ่งภารกิจในครั้งนี้ตอบโจทย์ในภาพรวมของตำบลนาขุนไกร ซึ่งองค์การบริหารส่วนตำบลนาขุนไกร ได้มีการลงนามบันทึกข้อตกลง MOU ว่าด้วยการจัดการขยะมูลฝอยในครัวเรือน ร่วมกับผู้นำชุมชน และหน่วยงานต่างๆในพื้นที่ทั้ง 12 หมู่บ้าน ด้วย อาทิเช่น โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลทั้ง 3 แห่งคือ รพ.สต.นาขุนไกร รพ.สต.บ้านวังพิกุล และรพ.สต.บ้านลุเต่า โรงเรียนทุกแห่งในตำบล ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยตำบลนาขุนไกร วัด เป็นต้น

2) การสื่อสารภายในทีมและหัวหน้าหน่วยงาน ประเด็นที่จำเป็นต้องสื่อสารต่อเนื่อง ประกอบด้วย ความรู้ความเข้าใจการทำงานชุมชนน่าอยู่ (โมเดล รพ.สต.) อาทิเช่น เรื่องแนวคิดชุมชนน่าอยู่และกลไกสภาผู้นำชุมชน การจัดทำแผนชุมชนพึ่งตนเอง  การประเมินผลเพื่อการเรียนรู้และพัฒนา (ARE) และระบบการบริการด้านสุขภาพและงานสร้างเสริมสุขภาพแบบมีส่วนร่วม และเชื่อมโยงสู่แผนสุขภาพตำบล และออกแบบและเก็บข้อมูลสถานะสุขภาพของ รพ.สต. และข้อมูลเชิงประเด็นของทีมสภาผู้นำชุมชน รวมถึงการประสานการทำงานระหว่าง รพ.สต. สภาผู้นำชุมชนและหน่วยจัดการชุมชนน่าอยู่ภาคเหนือและภาคีในพื้นที่ตำบลนาขุนไกร

ทั้งนี้ เงื่อนไขสำคัญที่ทำให้การสื่อสารต่อเนื่อง เกิดประสิทธิผล นำไปสู่ความเข้าใจและทักษะได้นั้นจำเป็นต้อง มีการประชุมอย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง มีการหารือโครงการ สสส. และประเด็นอื่นๆในชุมชน และมีรายงานการประชุมทุกครั้ง และทุกคนสามารถเสนอความคิดเห็นในที่ประชุม มีช่องทางการสื่อสารที่พี่เลี้ยงเข้าถึงง่าย เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร ความก้าวหน้าในการทำงานทุกงานที่ชุมชนดำเนินการให้สมาชิกทีมพี่เลี้ยงรับทราบอย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง  เพื่อช่วยกันวิเคราะห์จุด่อน จุดแข็งของชุมชน นำไปสู่การหนุนเสริมและแก้ไขปัญหาของชุมชนได้ทันเวลา ไม่มีความเสี่ยงระหว่างดำเนินงาน เช่น การจัดกิจกรรมตามกำหนดการ การเบิกจ่ายเงิน เอกสารการเงิน เอกสารสรุปความก้าวหน้า และการทำงานภายในทีมของสภาผู้นำชุมชน เป็นต้น

3) สภาผู้นำชุมชนเป็นผู้ตัดสินใจ และดำเนินงานต่างๆในชุมชนได้เองทั้งหมด โดยไม่ต้องพึ่งพาพี่เลี้ยง

วิธีการสื่อสารกับหัวหน้าหน่วยงานกรณีที่หัวหน้าไม่ได้เป็นพี่เลี้ยง

          3.1) รูปแบบการเรียนรู้ภายในทีม ใช้แนวทางการเรียนรู้จากการปฏิบัติจริงและมีส่วนร่วม โดยจำเป็นต้อง แผนในการหนุนเสริมการทำงานของทีมสภาผู้นำชุมชนด้วย จึงจะส่งผลต่อการเรียนรู้ภายในทีมได้อย่างมีประสิทธิภาพ

           3.2) การสร้างการมีส่วนร่วมของทีมและการร่วมแก้ไขปัญหา ได้ดำเนินการโดย พี่เลี้ยง ต้องเข้าร่วมเข้าประชุมและร่วมกิจกรรมไม่น้อยกว่าร้อยละ 65 ของกิจกรรมในชุมชน และในการประชุมหรือร่วมกิจกรรม ผู้เข้าร่วมสามารถแสดงความคิดเห็น ร่วมตัดสินใจเรื่องการดำเนินงาน และเสนอแนะ พิจารณาปัญหาใหม่ๆ รวมทั้งมีการร่วมติดตามประเมินผลได้ทุกคน โดยจำเป็นต้องเปิดโอกาสให้พี่เลี้ยงและสมาชิกชุมชนเข้าประชุมและร่วมกิจกรรมไม่น้อย กว่าร้อยละ 65 และสมาชิกชุมชนทุกคน สามารถแสดงความคิดเห็นมากขึ้น หรือมีสมาชิกหน้าใหม่ร่วมแสดงความคิดเห็นมากขึ้น สมาชิกชุมชนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจมากขึ้น หรือมีสมาชิกหน้าใหม่ร่วมตัดสินใจ และสมาชิกชุมชนมีข้อเสนอแนะ หรือให้ทางเลือกใหม่ๆ ในการแก้ปัญหาชุมชนมากขึ้น และเพิ่มประสิทธิภาพการมีส่วนร่วมของทีมพี่เลี้ยงและสภาผู้นำชุมชน โดยเปิดโอกาสให้สมาชิกชุมชนมีส่วนร่วมในการติดตามประเมินผล หรือสามารถร่วมประเมินความสำเร็จของชุมชนได้ จึงจะส่งผลต่อการมีส่วนร่วมของทีมและการร่วมแก้ไขปัญหาทั้งในส่วนของทีมงานและต่อกลไกสภาผู้นำชุมชนในแต่ละหมู่บ้านได้

4.การบริหารจัดการเป้าหมายร่วมของพื้นที่

1) การกำหนดเป้าหมายร่วมกันระหว่าง รพ.สต.นาขุนไกร องค์การบริหารส่วนตำบลนาขุนไกร และสภาผู้นำชุมขน  ได้มีการกำหนดเป้าหมายร่วมกัน คือ ปริมาณขยะในครัวเรือนที่ต้องกำจัดหลังจากการคัดแยกและใช้ประโยชน์ลดลง จาก 80 กิโลกรัมต่อครัวเรือนต่อเดือนเหลือ 40 กิโลกรัมต่อครัวเรือนต่อเดือน คิดเป็นร้อยละ 50 ของปริมาณขยะเดิม และลดปัจจัยที่เป็นสาเหตุของการเจ็บป่วยจากโรคที่มีความสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อม ( โรคไข้เลือดออก โรคซิก้า โรคอุจจาระ ลดลง ร้อยละ 20 จากค่ามัธยฐาน 5 ปี)  โดยการกำหนดเป้าหมายร่วมกันให้เกิดการยอมรับ นำไปสู่การบรรลุเป้าหมายได้จริง จำเป็นต้อง ใช้ข้อมูลชุดเดียวกันและมีการกำหนดข้อตกลงร่วมกัน

2) การวางแผนการดำเนินงานร่วมกันระหว่าง รพ.สต.นาขุนไกร และสภาผู้นำชุมขนจากเป้าหมายร่วมที่กำหนดด้วยการรวบรวมข้อมูลปริมาณขยะทั้งหมดในครัวเรือนต่อเดือน ครัวเรือนที่มีการคัดแยกขยะก่อนทิ้งและมีการใช้ประโยชน์จากขยะที่ผ่านการคัดแยก จำนวนกิจกรรมการประชุม อบรม งานศพ งานบุญต่างๆ ของชุมชน ที่เป็นแหล่งกำเนิดขยะพลาสติกและกล่องโฟมบรรจุอาหาร ปริมาณขยะอันตรายและขยะติดเชื้อในชุมชน รวมถึงค่าดัชนีลูกน้ำยุงลายในบ้าน (House Index)  HI  และค่าดัชนีลูกน้ำยุงลายในภาชนะ (Container Index) CI และอัตราป่วยด้วยโรคที่มีปัจจัยที่เป็นสาเหตุของการเจ็บป่วยจากโรคที่มีความสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อม เช่น โรคไข้เลือดออก โรคซิก้า โรคอุจจาระ ลดลง ร้อยละ 20 จากค่ามัธยฐาน 5 ปี มาประมวลผล จัดเวทีประชาคมทำความเข้าใจโครงการร่วมกับสมาชิกชุมชนรวมถึงการคืนข้อมูลให้แก่สมาชิกชุมชน

ทั้งนี้ จะต้องร่วมกันวิเคราะห์จุดเสี่ยง ค้นหาปัจจัยที่ทำให้เกิดขยะ เพื่อทำแผนการปรับปรุงจุดเสี่ยงต่อการทิ้งขยะ หรือแหล่งเพาะพันธ์เชื้อโรคที่เกิดจากขยะ โดยร่วมกันออกความคิดเห็น เพื่อทำความเข้าใจร่วมกันถึงลักษณะของขยะและการเกิดโรค และร่วมกันคัดเลือกและจัดลำดับจุดเสี่ยงที่ต้องการทำการปรับปรุงแก้ไขก่อน-หลัง และกำหนดข้อตกลงร่วมของชุมชนในการแก้ไขปัญหาขยะที่ชุมชนสามารถดำเนินการได้เอง จึงจะเกิดการยอมรับ จัดแบ่งหน้าที่และ นำไปสู่การปฏิบัติได้จริง

3) การดำเนินงานและการจัดการทรัพยากรร่วมกันระหว่าง รพ.สต.นาขุนไกร และสภาผู้นำชุมขน จากแผนการดำเนินร่วมที่กำหนด โดยที่ผ่านมาได้จัดการทรัพยากร คือ การแบ่งปันข้อมูลร่วมกัน ด้วยการเก็บ รวบรวมข้อมูลและบันทึกผลในชุดข้อมูลแหล่งเดียวกัน เพื่อป้องกันการซ้ำซ้อนของข้อมูล หรือป้องกันการคลาดเคลื่อนของข้อมูลนั้นๆ โดยมีสิ่งที่ขาดไม่ได้หรือต้องมีเงื่อนไข คือ การออกแบบการเก็บข้อมูลชุดเดียวกัน หรือ ใช้แบบฟอร์มเดียวกัน

4) การติดตามและประเมินผลร่วมกันระหว่าง รพ.สต.นาขุนไกร และสภาผู้นำชุมขนเพื่อให้บรรลุเป้าหมายร่วมที่กำหนดร่วมกัน ด้วยการ ร่วมประชุมประจำเดือนของสภาผู้นำชุมชน หรือของหมู่บ้านหรือของ รพ.สต. โดยมีขั้นตอนสำคัญ คือ 1) สรุปข้อมูลเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพที่สอดคล้องกับตัวชี้วัดในผลลัพธ์ประเด็นนั้นๆ  2) สะท้อนผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริงตามระยะเวลาที่ดำเนินโครงการ 3) เปรียบผลลัพธ์ที่ได้ว่าบรรลุเป้าหมายร่วมที่กำหนดไว้หรือไม่ 4) แลกเปลี่ยนเรียนรู้สิ่งดีๆที่เกิดขึ้น และร่วมเสนอแนะแนวทางการพัฒนาให้ดีขึ้นหรือแนวทางปรับปรุงให้บรรลุเป้าหมายร่วมที่กำหนดไว้ ทั้งนี้ ทุกครั้งจำเป็นต้องมีหรือต้องใช้ ข้อมูลจริงที่เก็บรวบรวมได้มาอ้างอิงและใช้จริงเป็นรูปธรรม จึงจะเกิดประโยชน์จากรูปแบบของการติดตามและประเมินผลร่วมกันระหว่างรพ.สต. และสภาผู้นำชุมขน

5.ผลลัพธ์การเปลี่ยนแปลงของชุมชน

1) ผลลัพธ์สมรรถนะสำคัญและการปรับเปลี่ยนวิธีทำงานของพี่เลี้ยง โดยเกิดผลลัพธ์ในระยะกลางของวิธีทำงานของพี่เลี้ยง คือ พี่เลี้ยง รพ.สต. มีทักษะในการหนุนเสริมการทำงานของสภาผู้นำชุมชนได้อย่างต่อเนื่องและสามารถขับเคลื่อนงานระหว่าง รพ.สต. อปท.และภาคีในชุมชนได้ ผ่านการถ่ายทอดแนวคิดชุมชนน่าอยู่และหนุนเสริมชุมชนให้เกิดกลไกสภาผู้นำชุมชน สนับสนุนกระบวนการจัดทำแผนชุมชนพึ่งตนเอง ร่วมออกแบบระบบการบริการด้านสุขภาพ และงานสร้างเสริมสุขภาพแบบมีส่วนร่วม และเชื่อมโยงสู่แผนสุขภาพตำบล หนุนเสริมทีมสภาผู้นำชุมชนร่วมเป็นคณะอนุกรรมการกองทุนหลักประกันสุขภาพตำบล หรือคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับตำบล (พชต.) เกิดการขับเคลื่อนนโยบายการจัดการขยะและสิ่งแวดล้อม GREEN & CLEAN HOSPITAL และขับเคลื่อนชุมชนสิ่งแวดล้อมเข็มแข็ง ACTIVE COMMUNINY ร่วมกัน  มีการจัดทำแผนงานโครงการหรือกิจกรรมเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาสุขภาพอย่างน้อย 1 ประเด็น โดยใช้กลไกการมีส่วนร่วมจัดทำแผนงานโครงการ ระหว่างทีมสภาผู้นำชุมชน และ รพ.สต. ที่สอดคล้องกับแผนปฏิบัติการด้านสาธารณสุขของ รพ.สต. บรรจุอยู่ในแผนชุมชนพึ่งตนเอง โดยต้องมีหรือต้องใช้ แนวคิดสาธารณสุขมูลฐานกับการพัฒนาระบบบริการปฐมภูมิ (นโยบาย 3 หมอ) มาประยุกต์ร่วมด้วยจึงจะเกิดสมรรถนะได้ตามที่คาดหวัง ให้สอดคล้องกับบันไดผลลัพธ์ของโมเดล รพ.สต.

2) ผลลัพธ์สมรรถนะของกลไกสภาผู้นำชุมชน โดยเกิดผลลัพธ์ในระยะกลางของวิธีทำงานของสภาผู้นำชุมชน คือ สภาผู้นำชุมชนมีสมรรถนะในการเสริมพลังชุมชนและขับเคลื่อนงานตามแผนชุมชนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในชุมชนได้ โดยต้องมีหรือต้องใช้ เป้าหมายและข้อตกลงร่วมกัน ผ่านการประชุมอย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง มีการหารือโครงการ สสส. และประเด็นอื่นๆในชุมชน และมีรายงานการประชุมทุกครั้ง โดยมีผู้เข้าร่วมประชุมไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของจำนวนสมาชิกสภาผู้นำชุมชน ทุกคนสามารถเสนอความคิดเห็นในที่ประชุมได้  สภาผู้นำชุมชนเป็นผู้ตัดสินใจ และดำเนินงานต่างๆในชุมชนได้เองทั้งหมด โดยไม่ต้องพึ่งพาพี่เลี้ยง สภาผู้นำชุมชนสามารถดำเนินงานได้ตามบทบาทหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย มีการติดตามประเมินผลการดำเนินงานและคืนข้อมูลให้แก่ชุมชน และมีการปรับปรุงการดำเนินงานให้เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนด  สภาผู้นำชุมชนมีการบริหารจัดการงบประมาณโครงการ สสส. และโครงการอื่นของชุมชน ด้วยความโปร่งใส จัดทำบัญชีรับจ่ายและแจ้งข้อมูลให้สมาชิกในชุมชนทราบทุกเดือน สภาผู้นำชุมชนสื่อสารข้อมูลข่าวสารความก้าวหน้าในการทำงานทุกงานที่ชุมชนดำเนินการให้สมาชิกชุมชนรับทราบอย่างน้อยเดือนละครั้ง สมาชิกสภาผู้นำชุมชนร้อยละ  100 จำนวน 20 คน  และพี่เลี้ยง รพ.สต.ได้รับการพัฒนาศักยภาพทักษะการจัดการขยะและการทำงานของกลไกลสภาผู้นำชุมชน จำนวน 2 ครั้ง ในเรื่องเครื่องมือของชุดโครงการชุมชนน่าอยู่ การขับเคลื่อนชุมชนสิ่งแวดล้อมเข้มแข็ง การขับเคลื่อนการป้องกันการบาดเจ็บทางถนน  ตำบลนาขุนไกรและการเชื่อมแผนงานโครงการของแผนชุมชนพึ่งตนเองกับแผนปฏิบัติการด้านสาธารณสุขของรพ.สต.และแผนพัฒนาตำบลนาขุนไกร ของอบต.นาขุนไกร มีแผนงาน/โครงการ ที่จะดำเนินงานในรอบปีต่อไป โดยเชื่อมโยงจากโครงการเดิมและเชื่อมต่อกับแผนงาน/โครงการของรพ.สต.เพื่อจัดการระบบบริการสุขภาพ จำนวน 5  ประเด็น คือ 1.  ขยะ 2.  อุบัติเหตุ 3. โควิด-19 4. ไข้เลือดออก 5. โรคเรื้อรัง ที่สอดคล้องกับแผนสุขภาวะตำบลผ่านแผนชุมชนพึ่งตนเอง และมีแนวทางการเชื่อมแผนกับ รพ.สต.นาขุนไกร อบต.นาขุนไกร โรงเรียนขุนไกรพิทยาคม และกศน.ตำบลนาขุนไกร พบระดับความสุขของประชาชนในชุมชนอายุ 15 ปีขึ้นไปเพิ่มขึ้นจากเดิม ถ้าตัวเลข 0   10 ร้อยละ 50 จากระดับเดิม โดยทำการสำรวจ 305 คน มีความสุขเฉลี่ย 9.03 เพิ่มขึ้นจากเดิม 8.41 จึงจะเกิดสภาที่มีสมรรถนะได้ตามที่คาดหวัง ที่สอดคล้องกับบันไดผลลัพธ์และ ความเข้มแข็ง 9 มิติได้

3) ผลลัพธ์การเปลี่ยนแปลงของประเด็นสุขภาพที่ดำเนินการร่วมกัน คือ ประเด็นการจัดการขยะ โดยเกิดผลลัพธ์ในระยะกลาง โดยครัวเรือนมีการคัดแยกขยะก่อนทิ้งอย่างเป็นระบบ จำนวน 122 ครัวเรือน คิดเป็นร้อยละ 80.2 ของครัวเรือนที่เข้าร่วมโครงการ ครัวเรือนมีการใช้ประโยชน์จากขยะที่ผ่านการคัดแยก จำนวน 108 ครัวเรือน คิดเป็นร้อยละ 71 ของครัวเรือนที่เข้าร่วมโครงการ และครัวเรือน จำนวน 120 ครัวเรือน คิดเป็นร้อยละ 78.9 มีการนำขยะอินทรีย์มาทำปุ๋ยหมัก/น้ำหมักชีวภาพ เกิดครัวเรือนตัวอย่าง จำนวน 15 ครัวเรือน เกิดการจัดทำธนาคารน้ำใต้ดินจากเศษขยะเพื่อลดการเผาขยะ แก้ปัญหาน้ำเน่าเสียจากครัวเรือน แก้ปัญหาน้ำท่วมขัง แหล่งเพาะพันธ์ยุงลาย แมลงวันและกลิ่นเหม็น จำนวน 15 ครัวเรือน

เกิดกติกาการจัดการขยะ จำนวน  5 ข้อ ที่มาจากการมีส่วนร่วมของชุมชนและปฏิบัติตามต่อเนื่อง จำนวน 125 ครัวเรือน คิดเป็นร้อยละ 82 ของครัวเรือนกลุ่มเป้าหมาย คือ 1. ทุกครัวเรือนต้องคัดแยกขยะก่อนทิ้ง 2. ทุกครัวเรือนต้องจัดทำถังขยะเปียกเพื่อกำจัดเศษอาหารและน้ำเสีย 3. ห้ามทิ้งขยะที่สาธารณะ ปรับ 1,000 บาท  4. ทุกครัวเรือนที่เลี้ยงวัวภายในเขตชุมชน ต้องจัดการคอกอย่างเป็นระบบ ตามระเบียบข้อบังคับของอบต.นาขุนไกร เพื่อลดกลิ่นเหม็นและแมลงวัน  5. ทุกครัวเรือนต้องเข้าร่วมกิจกรรมกองทุนขยะเพื่อสวัสดิการ อย่างน้อย 5 ครั้งต่อปี

กิจกรรมการประชุม อบรม งานศพ งานบุญต่างๆ ของชุมชน ลดการใช้ขยะพลาสติกและกล่องโฟมบรรจุอาหาร จำนวน 12 งาน คิดเป็นร้อยละ 66.67 ของจำนวนงานเดิม 18 งานต่อปี  และร้อยละ 100 ของขยะอันตรายและขยะติดเชื้อในชุมชนได้รับการจัดการอย่างถูกต้อง ค่าดัชนีลูกน้ำยุงลายในบ้าน  เท่ากับ 1.97  และค่าดัชนีลูกน้ำยุงลายในภาชนะ  เท่ากับ 0.75 ไม่เกินกว่าค่ามาตรฐาน ปริมาณขยะในครัวเรือนที่ต้องกำจัดหลังจากการคัดแยกและใช้ประโยชน์ลดลง จาก 80 กิโลกรัมต่อครัวเรือนต่อเดือนเหลือเฉลี่ย 15 กิโลกรัมต่อครัวเรือนต่อเดือน คิดเป็นร้อยละ 76.47 ของปริมาณขยะเดิม การเจ็บป่วยจากโรคที่มีความสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อม   โรคไข้เลือดออก โรคซิก้า โรคอุจจาระ ลดลง ร้อยละ 20 จากค่ามัธยฐาน 5 ปี ตัวชี้วัดร่วม รพ.สต. ในช่วงตุลาคม 2564 – กันยายน 2565 มีอัตราป่วยเท่ากับ 95.69 ต่อแสนประชากร พบผู้ป่วย 1 คนจาก ประชากรทั้งหมด 1,045 คน และสภาผู้นำชุมชนและรพ.สต.นาขุนไกร เกิดการขับเคลื่อนนโยบายการจัดการขยะและสิ่งแวดล้อม และขับเคลื่อนชุมชนสิ่งแวดล้อมเข้มแข็งร่วมกัน ซึ่งมีการประเมินตนเองอยู่ในระดับ ความเข้มแข็งอย่างยั่งยืน ผ่านการประเมินทั้ง 11 ข้อ โดยต้องมีหรือต้องใช้ข้อมูลชุดเดียวกันและมีการกำหนดข้อตกลงร่วมกัน  จึงจะเกิดผลลัพธ์ได้ตามที่กำหนดไว้ในวัตถุประสงค์และตัวชี้วัดของโครงการระดับชุมชน

หมายเหตุ***ภาพกิจกรรมการดำเนินงานของสภาผู้นำชุมชนบ้านเขาดินไพรวัน

 

 

 

 

(ตัวอย่าง)

บทเรียน การดำเนินงานบ้าน………………………………………………………

โมเดล รพ.สต. พื้นที่ตำบล   AAAAAAAA

โดย…………………………………….

ทีมสนับสนุนวิชาการ หน่วยจัดการชุมชนน่าอยู่ภาคเหนือ

  1. บริบท……………………………………………..

1) การหนุนเสริมของหน่วยจัดการต่อพี่เลี้ยง รพ.สต. ให้มีสมรรถนะในการดำเนินงาน ? ทั้งนี้ จำเป็นต้องหรือมีเงื่อนไขสำคัญ ..หน่วยจัดการภาค(อิสาน) มีคณะทำงานหรือที่เขาเรียก Admin  ต้องเป็น coaching ของพี่เลี้ยง รพ.สต.  (ช่วยสร้างความเข้าใจ เปลี่ยน mind set  การใช้ข้อมูล วิธีการทำงาน  ลงพื้นที่ร่วม ทำให้ดู สอนหน้างาน ช่วยวิเคราะห์ช่องว่าง การประชุมบ่อยๆ)

2) การดำเนินงานของกลไกการดำเนินงานพี่เลี้ยง รพ.สต. ในการหนุนเสริมกลไกสภาผู้นำชุมชน ? พื้นที่ รพ.สต.รับผิดชอบทั้งหมด 8 หมู่บ้าน มี จนท.รพ.สต.4 คน เป็นบทบาทพี่เลี้ยงโมเดล รพ.สต.3 คน  โดย ผอ. รพ.สต. รับดูแล 5 บ้าน  เจ้าหน้าที่ คนที่ 2 ดูแล 2 บ้าน เจ้าหน้าที่ คนที่ 3 ดูแล 1 บ้าน โดย บทบาทหนุนเสริมข้อมูลด้านสุขภาพ ข้อมูลวิชาการ ประสานการทำงานร่วมของแต่ละบ้าน สนับสนุนการแก้ไขปัญหาของแต่ละบ้าน พัฒนาการก่อตัวของสภา

ทั้งนี้ จำเป็นต้องหรือมีเงื่อนไขสำคัญ พี่เลี้ยง รพ.สต.ต้องเป็นคนในพื้นที่ในเขตบริการ มีประสบการณ์ทำงานร่วมกับ สสส. มาก่อน ประมาณ 8 ปี (2557)

           3) เงื่อนไขและปัจจัยความสำเร็จและไม่สำเร็จในแต่ละช่วง ของการดำเนินงานชุมชนน่าอยู่โมเดล รพ.สต. ในพื้นที่ตำบล ทั้งนี้ จำเป็นต้องหรือมีเงื่อนไขสำคัญ ..ด้วยกลยุทธ์อย่างไร/ด้วยเงื่อนไข/เทคนิค/ลำดับก่อนหลัง/ช่วงเวลา/ครั้งหรือความถี่ จุดเด่นของการดำเนินงานตามเป้าหมายของพื้นที่ ที่ควรส่งเสริมต่อเนื่อง และประเด็นที่ยังต้องปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้น จะต้องปรับปรุงอย่างไรจึงจะบรรลุเป้าหมายความสำเร็จ ภายใต้การดำเนินงานคามโมเดล รพ.สต.ในพื้นที่ตำบล?

ทั้งนี้ จำเป็นต้องหรือมีเงื่อนไขสำคัญ ..

– ผอ.รพ.สต.ต้องเป็นแกนนำทีมพี่เลี้ยง รพ.สต. และมีการแบ่งพื้นที่รับผิดชอบชัดเจน และร่วมเป็นสภาผู้นำชุมชนมาก่อน

– รพ.สต.มีการใช้ข้อมูลในการวิเคราะห์ปัญหา ยืนยันความถูกต้องตั้งแต่ระดับครัวเรือน นำข้อมูลมาสะท้อนร่วมกัน เช่น การคัดแยกขยะ ผ่านการส่งทางไลน์ว่าเป็นใคร ที่ไหน แยก ไม่แยกขยะไปยังตัวบุคคล

– รพ.สต.มีการเชื่อมประสานงานร่วมกับ อปท. เช่น รถเขียว(ขนขยะ) เป็นผู้ชั่งของตำบลและรอยต่อหมู่บ้านที่ไม่มีเจ้าภาพ รถเขียวเป็นผู้ส่งข้อมูลแก่สภาฯแบบเรลไทม์ พร้อมภาพ

– ผอ.รพ.สต.และหมู่บ้านบางส่วน ต้องมีประสบการณ์ทำงานร่วมกับ สสส.มาก่อน และอยู่เขตบริการของ รพ.สต.

  1. แลกเปลี่ยนข้อมูลบทเรียนการดำเนินงานที่ได้จากการลงพื้นที่ มาเติมเต็มกับกระบวนการทำงาน และบทเรียนการดำเนินงานภายใต้โมเดล รพ.สต.ผ่านตัวอย่าง รพ.สต.ที่หน่วยจัดการภาคได้จัดทำไว้

1) ข้อเรียนรู้จากการลงพื้นที่ของแต่ละหน่วยจัดการ เพื่อนำไปปรับปรุงการทำงานในพื้นที่ของตนเอง?

1.ด้าน/การก่อตัว ได้เรียนรู้ว่า หากจะดำเนินการต่อ ต้องคัดเลือกพี่เลี้ยง รพ.สต.ต้องเป็น ผอ.รพ.สต.และทีมงานทุกคนที่สมัครใจร่วมกัน โดยมี ผอ.รพ.สต.เป็นคนในพื้นที่หรือมีแรงจูงใจร่วม (ค่าตอบแทน) พื้นที่ในเขตบริการต้องมีชุมชนที่เคยมีประสบการณ์โครงการชุมชนน่าอยู่และมีสภาฯที่เข้มแข็ง เป็นตัวอย่างได้ (เช่น เทพคีรีมี 4 บ้าน จาก 8 บ้าน=ไม่น้อย 50 %) การก่อตัวของสภาผู้นำชุมชนมาจาก อสม.เป็นหลักและ อสม.ไปชักชวนกลุ่มอื่นๆ (ส่วนใหญ่ผู้นำเป็น อสม.ด้วย)

2.ด้าน/การเกิดสมรรถนะพี่เลี้ยงใหม่ ต้องลงไปร่วมเรียนรู้จากการลงมือทำกับทีมงานหรือหัวหน้าพี่เลี้ยง (ผอ.รพ.สต.)

3.ด้าน/การกำหนดบทบาท/ภารกิจพี่เลี้ยงได้เรียนรู้ว่า แบ่งหมู่บ้านในการหนุนเสริมการทำงาน ตามประสบการณ์ของพี่เลี้ยง

4.ด้าน./การสื่อสาร……………………………………………………………………………………………………………….

5.ด้าน./การเรียนรู้ภายในทีม……………………………………………………………………………………………………

6.ด้าน/การสร้างการมีส่วนร่วมได้เรียนรู้ว่า พี่เลี้ยงให้โอกาสตัดสินใจแต่หากเชิงวิชาการพี่เลี้ยงให้คำปรึกษา ร่วมให้ข้อมูล คืนข้อมูล  //ร่วมแก้ไขสภาด้วยกัน ไม่แบ่งหน้าที่เฉพาะแต่ช่วยกันแก้ปัญหา

7.ด้าน/การกำหนดเป้าหมายร่วม ระหว่างพี่เลี้ยง ที่ร่วมกับ ภาคี ได้เรียนรู้ว่า มีแผนปฏิบัติการ มีกำหนดเป้าหมายร่วมกัน//ออกแบบและวางแผนใช้ข้อมูลร่วมกับสภาในการลงมือปฏิบัติ

8.ด้าน/การวางแผนร่วมกันของพี่เลี้ยงกับสภาผู้นำชุมชน…………………………………………………………………

9.ด้าน/การดำเนินการจัดการทรัพยากรร่วมของพี่เลี้ยงกับสภาผู้นำชุมชน……………………………………………..

10.ด้าน/การติดตามและประเมินผลร่วมของพี่เลี้ยงกับสภาผู้นำชุมชนได้เรียนรู้ว่า ติดตามร่วมกันโดยใช้ข้อมูลจากสภา อสม.ในแต่ละคุ้ม

11.ด้านสมรรถนะสำคัญและการปรับเปลี่ยนวิธีการดำเนินงานของพี่เลี้ยงได้เรียนรู้ว่า  ยึดเป้าร่วมเป็นสิ่งสำคัญ คือสิ่งที่ต้องคนทำร่วมกัน เช่น จัดการขยะเป็นวาระแห่งชาติ เป็นประเด็นที่ชาวบ้านรับรู้

12.ด้านสมรรถนะสำคัญของสภาผู้นำชุมชนได้เรียนรู้ว่า เก็บข้อมูลได้ คืนข้อมูลได้ วางแผนร่วมได้ แบ่งพื้นที่ดูแลชัดเจน บูรณาการกับงานของ รพ.สต.ได้ ผ่านเวทีประชุมสัญจรระดับตำบล

13.ด้านผลลัพธ์การเปลี่ยนแปลงสุขภาวะได้เรียนรู้ว่า กลุ่มเสี่ยงได้รับการคัดกรอง ทำตนเป็นแบบอย่างในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ชักชวนกลุ่มเสี่ยงเข้าร่วมปรับเปลี่ยนพฤติกรรม สร้างความตระหนักว่า ความเสี่ยง NCD ไม่ใช่เรื่องหมอ เป็นเรื่องของสภา

Shares:
QR Code :
QR Code

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ระบุข้อความ