
บทเรียนโครงการชุมชนน่าอยู่: โมเดล รพ.สต.โค้งไผ่ พื้นที่บ้านคลองน้ำเย็นใต้ ม.5 จ.กำแพงเพชร
บทเรียนการดำเนินงานของกลไกการดำเนินงานโครงการชุมชนน่าอยู่ โมเดล รพ.สต.โค้งไผ่
พื้นที่โครงการชุมชนน่าอยู่ บ้านคลองน้ำเย็นใต้ ตำบลโค้งไผ่ อำเภอขาณุวรลักษบุรี จังหวัดกำแพงเพชร
โดย นางสาวรัตติยา โตจีน
ทีมสนับสนุนวิชาการ หน่วยจัดการชุมชนน่าอยู่ภาคเหนือ
1.บริบทของพื้นที่ (คล้ายหลักการและเหตุผล/ความสำคัญ/ที่มาของปัญหาพื้นที่)
บ้านคลองน้ำเย็นใต้ มีจำนวน 172 ครัวเรือน ประชากรทั้งหมด 457 คน แยกเป็นเพศชาย 230 คนและเพศหญิง 227 คน พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่ราบลุ่ม อาชีพส่วนใหญ่ทำการเกษตร ม.5 ตั้งอยู่ใน ตำบลโค้งไผ่ ห่างจากจังหวัดกำแพงเพชร 56 กิโลเมตร ห่างจากอำเภอขาณุวรลักษบุรี 29 กิโลเมตร มีอาณาเขตติดต่อดังนี้ ทิศเหนือติดต่อกับ หมู่ 7 บ้านคลองน้ำเย็นเหนือ อำเภอคลองขลุง ทิศใต้ติดต่อกับ ม.4 บ้านหนองงูเห่า จำนวนพื้นที่ของหมู่บ้าน 4,248 ไร่ คนในชุมชนประกอบอาชีพหลักในการทำนา 124 คน ประกอบอาชีพอื่นๆ ได้แก่รับราชการ 11คน รับจ้างทั่วไป 125 คน ค้าขาย 32 คน ประกอบอาชีพอื่นๆ 36 คน กำลังศึกษา 107 คน และไม่มีอาชีพ 20 คน ประชากรมีรายได้เฉลี่ย 427.57 บาทต่อคนต่อปี สถานที่สำคัญในชุมชน ได้แก่ มีหอกระจายข่าว 1 แห่ง ร้าค้าในชุมชน 9 แห่ง ในชุมชนมีไฟฟ้าใช้ 186 ครัวเรือน มีประปาส่วนภูมิภาค 2 แห่ง และคลอง 3 แห่ง การเดินทางเข้าชุมชนเป็นถนนลาดยาง 3 เส้น ระยะทาง 6 กิโลเมตร ถนนลูกรัง 2 เส้น ระยะทาง 4 กิโลเมตร
ปัญหาที่มีในชุมชน ได้แก่ ขาดแหล่งน้ำเพื่อการอุปโภคและการบริโถค ถนนคมนาคมในหมู่บ้านเป็นถนนลูกรัง เกิดมลพิษฝุ่นละออง ขาดไฟฟ้าเพื่อการเกษตร กลุ่มอาชีพไม่เข้มแข็ง ประชาชนมีหนี้สินมาก โดยคนในชุมชนมีความต้องการออกกำลังกายเพื่อรักษาสุขภาพ ต้องการให้มีการส่งเสริมอาชีพหลังฤดูการเก็บเกี่ยวข้าว การสนับสนุนงบประมาณในการจัดงานประเพณี และมีการบริโภคอาหารปลอดภัย ลดการใช้สารเคมี มีการปลูกพืชสมุนไพรทดแทน
ด้านพฤติกรรม พบว่า คนในชุมชนขาดความรู้ความเข้าใจ ในการปลูกและบริโภคผักปลอดสาร อาหารปลอดภัย ไม่ปลูกผักกินจำนวน 125 ครัวเรือน จำนวน 125 ครัวเรือนมีค่าใช้จ่ายจากการใช้น้ำดูแลผัก สูงกว่าการไม่ได้ปลูกผักเพื่อการบริโภค และคนในชุมชนส่วนใหญ่ซื้ออาหารสำเร็จรูปจากตลาดเนื่องจากสะดวก ถูก และประหยัดเวลาในการบริโภค ขาดความต่อเนื่องจากปลุกผักจำนวน 27 ครัวเรือน
ด้านสุขภาพ พบว่ามีสารพิษตกค้างในร่างกายจำนวน 125 ครัวเรือน เจ็บป่วยต้องจากการบริโภคอาหารไม่ปลอดภัย มีผื่นคัน แพ้อาหาร
ด้านสิ่งแวดล้อม พบว่า พื้นที่ทำการเกษตร ดินขาดความอุดมสมบูรณ์ มีร้านขายสารเคมีในขุมชน จำนวน 1 ร้าน มีการปนเปื้อนของสารเคมทีที่ใช้ในการดูแลผักลงแม่น้ำลำคลอง
ระบบที่เกี่ยวข้อง พบว่ากรรมการหมู่บ้านยังขาดการกำหนดนโยบายให้ชาวบ้านปลูกผักกินเอง
ผลกระทบที่เกิดขึ้น พบว่า ด้านสุขภาพ เกิดโรคภัยไข้เจ็บจากการบริโภคผัก มีความเสี่ยงสูง 125 ครัวเรือน เป็นมะเร็ง 5 คน เบาหวาน 4 คน เป็นความดันสูง 9 คน สารพิษตกค้างในร่างกาย 125 คน ด้านสังคม พบว่า การซื้อผักจากกตลาดมีความหลากหลาย ราคาถูก สะดวก มีตลาดนัดในชุมชน 2 วันต่อสัปดาห์ และขาดการรวมกลุ่มในการปลูกผักปลอดภัยในชุมชน
ด้านเศรษฐกิจ พบว่า มีค่าใช้จ่ายการซื้อผักและอาหารปรุงสำเร็จรูปเฉลี่ย 200-300 บาทต่อคนต่อครัวเรือนหรือประมาณ 80-100 บาทต่อคนต่อมื้อ
ด้านสิ่งแวดล้อม เกิดขยะจากการซื้อผักเพื่อการบริโภค สารเคมีปนเปื้อนจากผัก และสภาพดินเสื่อมสภาพจากการใช้สารเคมี
2.การก่อตัวของกลไกพี่เลี้ยง รพ.สต.
1) จำนวนพี่เลี้ยงใน รพ.สต. การจัดโครงสร้างทีมพี่เลี้ยง และ การบริหารจัดการภายในทีม ชุมชนบ้านคลองน้ำเย็นใต้ ขับเคลื่อนโครงการภายใต้ประเด็นการการปลูกและบริโภคผัก 400กรัมต่อคนต่อวัน โดยมีพี่เลี้ยง รพ.สต. จำนวน 5 คน ร่วมเป็นที่ปรึกษาขับเคลื่อนโครงการ ประกอบไปด้วย พี่เลี้ยงพื้นที่ คือ นางสาวศุภกาญจน์ แจ่มหม้อ ตำแหน่งเจ้าพนักงานสาธารณสุขชำนาญงาน รับผิดชอบเป็นหัวหน้าทีมพี่เลี้ยง และมีพี่เลี้ยงเครือข่ายสาธารณสุข และมีพี่เลี้ยงใหม่ คอยหนุนเสริมการทำงานต่อเนื่อง จำนวน 4 คน นางสาวสุมิตา ภูสูสี ตำแหน่งแพทย์แผนไทย พี่เลี้ยงต่าง รพ.สต. นางสาวนันทลียา โสภณ ตำแหน่งนักวิชาการสาธารณสุข ปฏิบัติงาน (รพ.สต.วังน้ำพุ ต.โค้งไผ่) นางสาววิลาวรรณ เขน่วม ตำแหน่งนักวิชาการสาธารณสุขปฏิบัติงาน (รพ.สต.วังหามแห ต.วังหามแห) นางสาวนุจรี เจริญผล ตำแหน่งแพทย์แผนไทย (รพ.สต.วังชะพลู ต.วังชะพลู) นับเป็นพี่เลี้ยงในพื้นที่จำนวน 2 ราย และพี่เลี้ยงต่าง รพ.สต.จำนวน 3 ราย ที่เข้ามามีบทบาทในการช่วยหนุนเสริมการทำงานของทีมสภาผู้นำบ้านคลองน้ำเย็นใต้ โดยการการจัดโครงสร้างทีมพี่เลี้ยง และ การบริหารจัดการภายในทีม ให้เกิดความคล่องตัว ให้เกิดความคล่องตัว เกิดรูปธรรมในการหนุนเสริมสภาผู้นำชุมชนได้นั้น จำเป็นต้องมีพี่เลี้ยง รพ.สต.ในพื้นที่เป็นพี่เลี้ยงหลัก ในการหนุนเสริมการทำงานที่ต่อเนื่อง ซึ่งบ้านคลองน้ำเย็นใต้ หมู่ที่ 5 มีพี่เลี้ยงวิชาการ คือ นางสาวรัตติยา โตจีน พี่เลี้ยงโมเดล รพ.สต.หลัก คือ นางสาวศุภกาญจน์ แจ่มหม้อ เจ้าพนักงานสาธารณสุขชำนาญงาน รพ.สต.โค้งไผ่ และมีนางสาวสุมิตา ภูสูสี ตำแหน่งแพทย์แผนไทย รับผิดชอบดูแลเป็นพี่เลี้ยงที่ปรึกษาหลักในพื้นที่ มีการลงพื้นที่ติดตามเยี่ยมชุมชน หนุนเสริมการทำงาน โดยสภาผู้นำชุมชนจึงเป็นผู้ตัดสินใจและดำเนินงานต่าง ๆในชุมชนกันเองเป็นส่วนใหญ่ แต่ยังต้องการพี่เลี้ยงช่วยให้ข้อเสนอแนะในบางประเด็นเท่านั้น
2) สมรรถนะพี่เลี้ยงใน รพ.สต. พบว่าพี่เลี้ยงหลักคือ เจ้าหน้าที่ รพ.สต.โค้งไผ่ จำนวน 2 ท่าน อยู่ในขั้นที่ 3 สามารถขับเคลื่อนงานร่วมกันระหว่าง รพ.สต. ชุมชน และภาคีได้ สามารถหนุนเสริมให้ทีมสภาผู้นำชุมชนบ้านคลองน้ำเย็นใต้ สามารถหนุนเสริมชุมชนในการจัดทำแผนงานโครงการหรือกิจกรรมเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาสุขภาพอย่างน้อย 1 ประเด็น โดยใช้กลไกการมีส่วนร่วมจัดทำแผนงานโครงการ ระหว่างทีมสภาผู้นำชุมชน และรพ.สต. ที่สอดคล้องกับแผนปฏิบัติการด้านสาธารณสุขของ รพ.สต. บรรจุอยู่ในแผนชุมชนพึ่งตนเองของหมู่บ้านได้ ครอบคลุมทุกด้าน ทุกประเด็น (ทำเอง ทำร่วม ทำขอ)
พบว่า การสร้างทีมพี่เลี้ยงที่มีสมรรถนะได้นั้น จำเป็นต้องเปิดใจพร้อมเรียนรู้สิ่งใหม่ และต้องมีความรู้ ความเข้าใจ เรื่องแนวคิดชุมชนน่าอยู่และกลไกสภาผู้นำชุมชน และมีพื้นฐานความรู้ความเข้าใจระบบการบริการด้านสุขภาพและงานสร้างเสริมสุขภาพแบบมีส่วนร่วม และเชื่อมโยงสู่แผนสุขภาพตำบล และที่สำคัญต้องมีใจเป็นหนึ่งเดียวกับชุมชน ยึดชุมชนเป็นศูนย์กลาง และรับรู้อุปสรรค รับประโยชน์ที่ได้รับร่วมกันทั้งสองฝ่าย
3.กลไกพี่เลี้ยง รพ.สต.
1) การกำหนดการกิจของทีมพี่เลี้ยง ทั้งในการเป็นผู้พัฒนาชุมชน และภารกิจของหน่วยงานโดยพี่เลี้ยง
รพ.สต.และสภาผู้นำชุมชนบ้านคลองน้ำเย็นใต้ ร่วมกันกำหนดภารกิจของการดำเนินการประเด็นหลักร่วมกันคือ การแก้ไขปัญหาพฤติกรรมการปลูกและบริโภคผัก 400 กรัมต่อคนต่อวัน ของประชาชนในพื้นที่ สนับสนุนการขับเคลื่อนการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับตำบล (พชต.) อำเภอขาณุวรลักษบุรี จังหวัดกำแพงเพชร ทั้งนี้ เงื่อนไขสำคัญที่ทำให้การกำหนดการกิจของทีมพี่เลี้ยง ทั้งในการเป็นผู้พัฒนาชุมชน และภารกิจของหน่วยงาน ได้รับการยอมรับของทุกฝ่าย จำเป็นต้องรับรู้และเข้าใจตัวชี้วัดร่วม หรือเป้าหมายร่วมที่ทั้ง 2 ฝ่ายได้ประโยชน์ ซึ่งภารกิจในครั้งนี้ตอบโจทย์ในภาพรวมของตำบลโค้งไผ่
2) การสื่อสารภายในทีมและหัวหน้าหน่วยงาน ประเด็นที่จำเป็นต้องสื่อสารต่อเนื่อง ประกอบด้วย ความรู้ความเข้าใจการทำงานชุมชนน่าอยู่ (โมเดล รพ.สต.) อาทิเช่น เรื่องแนวคิดชุมชนน่าอยู่และกลไกสภาผู้นำชุมชน การจัดทำแผนชุมชนพึ่งตนเอง การประเมินผลเพื่อการเรียนรู้และพัฒนา (ARE) และระบบการบริการด้านสุขภาพและงานสร้างเสริมสุขภาพแบบมีส่วนร่วม และเชื่อมโยงสู่แผนสุขภาพตำบล และออกแบบและเก็บข้อมูลสถานะสุขภาพของ รพ.สต. และข้อมูลเชิงประเด็นของทีมสภาผู้นำชุมชน รวมถึงการประสานการทำงานระหว่าง รพ.สต. สภาผู้นำชุมชนและหน่วยจัดการชุมชนน่าอยู่ภาคเหนือและภาคีในพื้นที่ตำบลโค้งไผ่
ทั้งนี้ เงื่อนไขสำคัญที่ทำให้การสื่อสารต่อเนื่อง เกิดประสิทธิผล นำไปสู่ความเข้าใจและทักษะได้นั้นจำเป็นต้อง มีการประชุมอย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง มีการหารือโครงการ สสส. และประเด็นอื่น ๆ ในชุมชน และมีรายงานการประชุมทุกครั้ง และทุกคนสามารถเสนอความคิดเห็นในที่ประชุม มีช่องทางการสื่อสารที่พี่เลี้ยงเข้าถึงง่าย เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร ความก้าวหน้าในการทำงานทุกงานที่ชุมชนดำเนินการให้สมาชิกทีมพี่เลี้ยงรับทราบอย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง เพื่อช่วยกันวิเคราะห์จุดอ่อน จุดแข็งของชุมชน นำไปสู่การหนุนเสริมและแก้ไขปัญหาของชุมชนได้ทันเวลา ไม่มีความเสี่ยงระหว่างดำเนินงาน เช่น การจัดกิจกรรมตามกำหนดการ การเบิกจ่ายเงิน เอกสารการเงิน เอกสารสรุปความก้าวหน้า และการทำงานภายในทีมของสภาผู้นำชุมชน เป็นต้น
3) สภาผู้นำชุมชนเป็นผู้ตัดสินใจ และดำเนินงานต่าง ๆ ในชุมชนได้เอง โดยพึ่งพาพี่เลี้ยงในบางครั้ง
วิธีการสื่อสารกับหัวหน้าหน่วยงานกรณีที่หัวหน้าไม่ได้เป็นพี่เลี้ยง
3.1) รูปแบบการเรียนรู้ภายในทีม จำเป็นต้องสื่อสารอย่างต่อเนื่องตลอดการทำกิจกรรมในโครงการ เนื่องจากเมื่อหัวหน้าหน่วยงานไม่ได้อยู่ในบทบาทของพี่เลี้ยง รพ.สต. อาจจะไม่เข้าใจในระบบการทำงานของทีมสภาผู้นำภายใต้กลไกชุมชนน่าอยู่ การสื่อสารระหว่างพี่เลี้ยง รพ.สต. ทีมสภาผู้นำ และหัวหน้าองค์กร ควรมีความต่อเนื่อง สม่ำเสมอ ให้ทราบความเป็นไป ผลลัพธ์ของโครงการจึงจะส่งผลต่อการเรียนรู้ภายในทีมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
3.2) การสร้างการมีส่วนร่วมของทีมและการร่วมแก้ไขปัญหา ได้ดำเนินการโดย พี่เลี้ยง ต้องเข้าร่วมเข้าประชุมและร่วมกิจกรรมไม่น้อยกว่าร้อยละ 65 ของกิจกรรมในชุมชน และในการประชุมหรือร่วมกิจกรรม ผู้เข้าร่วมสามารถแสดงความคิดเห็น ร่วมตัดสินใจเรื่องการดำเนินงาน และเสนอแนะ พิจารณาปัญหาใหม่ๆ รวมทั้งมีการร่วมติดตามประเมินผลได้ทุกคน โดยจำเป็นต้องเปิดโอกาสให้พี่เลี้ยงและสมาชิกชุมชนเข้าประชุมและร่วมกิจกรรมไม่น้อยกว่าร้อยละ 65 และสมาชิกชุมชนทุกคน สามารถแสดงความคิดเห็นมากขึ้น หรือมีสมาชิกหน้าใหม่ร่วมแสดงความคิดเห็นมากขึ้น สมาชิกชุมชนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจมากขึ้น หรือมีสมาชิกหน้าใหม่ร่วมตัดสินใจ และสมาชิกชุมชนมีข้อเสนอแนะ หรือให้ทางเลือกใหม่ๆ ในการแก้ปัญหาชุมชนมากขึ้น และเพิ่มประสิทธิภาพการมีส่วนร่วมของทีมพี่เลี้ยงและสภาผู้นำชุมชน โดยเปิดโอกาสให้สมาชิกชุมชนมีส่วนร่วมในการติดตามประเมินผล หรือสามารถร่วมประเมินความสำเร็จของชุมชนได้ จึงจะส่งผลต่อการมีส่วนร่วมของทีมและการร่วมแก้ไขปัญหาทั้งในส่วนของทีมงานและต่อกลไกสภาผู้นำชุมชนในแต่ละหมู่บ้านได้
4.การบริหารจัดการเป้าหมายร่วมของพื้นที่
1) การกำหนดเป้าหมายร่วมกันระหว่าง รพ.สต.โค้งไผ่ องค์การบริหารส่วนตำบลโค้งไผ่ และสภาผู้นำชุมขน ได้มีการกำหนดเป้าหมายร่วมกัน คือ ต้องการให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมายในการบริโภคอาหารปลอดภัย โดยกระบวนการมีส่วนร่วมที่ประชาชนในหมู่บ้านเห็นชอบร่วมกันผ่านเวทีประชาคมหรือเวทีอื่นๆ ของหมู่บ้าน ใช้เป็นหลักปฏิบัติในชุมชนในการบริโภคอาหารปลอดภัย ในชุมชนและเกิดการเปลี่ยนแปลงด้านสุขภาวะในระดับตำบลตามแผนสุขภาพ
2) การวางแผนการดำเนินงานร่วมกันระหว่าง รพ.สต.โค้งไผ่ และสภาผู้นำชุมขนจากเป้าหมายร่วมที่กำหนดด้วยการรวบรวมข้อมูลการปลูกและการบริโภคผักในชุมชน มาประมวลผล จัดเวทีประชาคมทำความเข้าใจโครงการร่วมกับสมาชิกชุมชนรวมถึงการคืนข้อมูลการปลูกและบริโภคผักในชุมชน ทั้งนี้ จะต้องร่วมกันวิเคราะห์ เพื่อกำหนดข้อตกลงร่วมของชุมชนในการปลูกและบริโภค จึงจะเกิดการยอมรับ จัดแบ่งหน้าที่และนำไปสู่การปฏิบัติได้จริง
3) การดำเนินงานและการจัดการทรัพยากรร่วมกันระหว่าง รพ.สต.โค้งไผ่ และสภาผู้นำชุมขน จากแผนการดำเนินร่วมที่กำหนด โดยที่ผ่านมาได้จัดการทรัพยากร คือ การแบ่งปันข้อมูลร่วมกัน ด้วยการเก็บ รวบรวมข้อมูลและบันทึกผลในชุดข้อมูลแหล่งเดียวกัน เพื่อป้องกันการซ้ำซ้อนของข้อมูล หรือป้องกันการคลาดเคลื่อนของข้อมูลนั้น ๆ โดยมีสิ่งที่ขาดไม่ได้หรือต้องมีเงื่อนไข คือ การออกแบบการเก็บข้อมูลชุดเดียวกัน หรือ ใช้แบบฟอร์มเดียวกัน
4) การติดตามและประเมินผลร่วมกันระหว่าง รพ.สต.โค้งไผ่ และสภาผู้นำชุมขนเพื่อให้บรรลุเป้าหมายร่วมที่กำหนดร่วมกัน ด้วยการ ร่วมประชุมประจำเดือนของสภาผู้นำชุมชน หรือของหมู่บ้านหรือของ รพ.สต. โดยมีขั้นตอนสำคัญ คือ 1) สรุปข้อมูลเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพที่สอดคล้องกับตัวชี้วัดในผลลัพธ์ประเด็นนั้น ๆ 2) สะท้อนผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริงตามระยะเวลาที่ดำเนินโครงการ 3) เปรียบผลลัพธ์ที่ได้ว่าบรรลุเป้าหมายร่วมที่กำหนดไว้หรือไม่ 4) แลกเปลี่ยนเรียนรู้สิ่งดี ๆที่เกิดขึ้น และร่วมเสนอแนะแนวทางการพัฒนาให้ดีขึ้นหรือแนวทางปรับปรุงให้บรรลุเป้าหมายร่วมที่กำหนดไว้ ทั้งนี้ ทุกครั้งจำเป็นต้องมีหรือต้องใช้ ข้อมูลจริงที่เก็บรวบรวมได้มาอ้างอิงและใช้จริงเป็น
5.ผลลัพธ์การเปลี่ยนแปลงของชุมชน
1) ผลลัพธ์สมรรถนะสำคัญและการปรับเปลี่ยนวิธีทำงานของพี่เลี้ยง บันไดสมรรถนะ โดยเกิดผลลัพธ์ในระยะกลางของวิธีทำงานของพี่เลี้ยง คือ พี่เลี้ยง รพ.สต. มีทักษะในการหนุนเสริมการทำงานของสภาผู้นำชุมชนได้อย่างต่อเนื่องและสามารถขับเคลื่อนงานระหว่าง รพ.สต. อปท.และภาคีในชุมชนได้ ผ่านการถ่ายทอดแนวคิดชุมชนน่าอยู่และหนุนเสริมชุมชนให้เกิดกลไกสภาผู้นำชุมชน สนับสนุนกระบวนการจัดทำแผนชุมชนพึ่งตนเอง ร่วมออกแบบระบบการบริการด้านสุขภาพ และงานสร้างเสริมสุขภาพแบบมีส่วนร่วม และเชื่อมโยงสู่แผนสุขภาพตำบล หนุนเสริมทีมสภาผู้นำชุมชนร่วมเป็นคณะอนุกรรมการกองทุนหลักประกันสุขภาพตำบล หรือคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับตำบล (พชต.) มีการจัดทำแผนงานโครงการหรือกิจกรรมเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาสุขภาพอย่างน้อย 1 ประเด็น โดยใช้กลไกการมีส่วนร่วมจัดทำแผนงานโครงการ ระหว่างทีมสภาผู้นำชุมชน และ รพ.สต. ที่สอดคล้องกับแผนปฏิบัติการด้านสาธารณสุขของ รพ.สต. บรรจุอยู่ในแผนชุมชนพึ่งตนเอง โดยต้องมีหรือต้องใช้ แนวคิดสาธารณสุขมูลฐานกับการพัฒนาระบบบริการปฐมภูมิ (นโยบาย 3 หมอ) มาประยุกต์ร่วมด้วยจึงจะเกิดสมรรถนะได้ตามที่คาดหวัง ให้สอดคล้องกับบันไดผลลัพธ์ของโมเดล รพ.สต.
2) ผลลัพธ์สมรรถนะของกลไกสภาผู้นำชุมชน โดยเกิดผลลัพธ์ในระยะกลางของวิธีทำงานของสภาผู้นำชุมชน คือ สภาผู้นำชุมชนมีสมรรถนะในการเสริมพลังชุมชนและขับเคลื่อนงานตามแผนชุมชนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในชุมชนได้ โดยต้องมีหรือต้องใช้ เป้าหมายและข้อตกลงร่วมกัน ผ่านการประชุมอย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง มีการหารือโครงการ สสส. และประเด็นอื่น ๆในชุมชน และมีรายงานการประชุมทุกครั้ง โดยมีผู้เข้าร่วมประชุมไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของจำนวนสมาชิกสภาผู้นำชุมชน ทุกคนสามารถเสนอความคิดเห็นในที่ประชุมได้ สภาผู้นำชุมชนเป็นผู้ตัดสินใจ และดำเนินงานต่าง ๆในชุมชนได้เองทั้งหมด โดยไม่ต้องพึ่งพาพี่เลี้ยง สภาผู้นำชุมชนสามารถดำเนินงานได้ตามบทบาทหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย มีการติดตามประเมินผลการดำเนินงานและคืนข้อมูลให้แก่ชุมชน และมีการปรับปรุงการดำเนินงานให้เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนด สภาผู้นำชุมชนมีการบริหารจัดการงบประมาณโครงการ สสส. และโครงการอื่นของชุมชน ด้วยความโปร่งใส จัดทำบัญชีรับจ่ายและแจ้งข้อมูลให้สมาชิกในชุมชนทราบทุกเดือน สภาผู้นำชุมชนสื่อสารข้อมูลข่าวสารความก้าวหน้าในการทำงานทุกงานที่ชุมชนดำเนินการให้สมาชิกชุมชนรับทราบ เดือนละ 1ครั้ง จึงจะเกิดสภาที่มีสมรรถนะได้ตามที่คาดหวัง ที่สอดคล้องกับบันไดผลลัพธ์และ ความเข้มแข็ง 9 มิติได้
3) ผลลัพธ์การเปลี่ยนแปลงของประเด็นสุขภาพที่ดำเนินการร่วมกัน คือ การปลูกและบริโภคผัก 400 กรัมต่อคนต่อวัน โดยเกิดผลลัพธ์ในระยะกลาง ดังนี้ จำนวน 172 ครัวเรือน มีความรู้เรื่องพิษภัยจากผักผลไม้ที่ปนเปื้อนสารเคมี และการปลูกและบริโภคผักอย่างน้อย 400 กรัม/คน/วัน และมีความรู้เรื่องพืชสมุนไพร มีกติการ่วมกันเรื่องการปลูกและบริโภคผักปลอดสารเคมีอย่างน้อย 400 กรัม/คน/วัน และครัวเรือนสามารถปฏิบัติตามกติกาการปลูกและบริโภคผักปลอดสารเคมีและพืชสมุนไพรได้ ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยในการซื้อผักบริโภคของครัวเรือนลดลงเหลือ 600 บาท
ภาพกิจกรรมการดำเนินงานของสภาผู้นำชุมชนบ้านคลองน้ำเย็นใต้