บทเรียนโครงการชุมชนน่าอยู่: โมเดล อปท.ต.หัวรอ พื้นที่บ้านตาปะขาวหาย ม.4 จ.พิษณุโลก

บทเรียนการดำเนินงานของกลไกการดำเนินงานโครงการชุมชนน่าอยู่ โมเดล อปท.ตำบลหัวรอ
พื้นที่โครงการชุมชนน่าอยู่ บ้านตาปะขาวหาย หมู่ 4 ตำบลหัวรอ อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก

โดย นางสาวรัตติยา โตจีน
ทีมสนับสนุนวิชาการ หน่วยจัดการชุมชนน่าอยู่ภาคเหนือ

บริบทพื้นที่

หมู่บ้านตาปะขาวหายมีตำนานเล่าสืบกันมาในสมัยพระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎก ทรงโปรดให้ช่างหล่อพระจากสวรรค์โลก เชียงแสน เมืองหริภุญไชยและเมืองศรีสัชนาลัยมาช่วยหล่อพระพุทธชินราช พระพุทธชินสีห์และพระศรีศาสดา โดยมีพราหมณ์ทำพิธีหล่อพระพุทธรูปรวม 6 องค์ และประกอบพิธีในวันพฤหัสขึ้น 15 ค่ำ เดือน 4 ปีเถาะจุลศักราช 717 ซึ่งประมาณพุทะศักราช 1898 ผลปรากฎว่าพระพุทธชินสีห์และพระศรีศาสดาหล่อได้และมีสภาพสมบูรณ์ ช่างหล่อพระได้ทำหุ่นและเททองหล่อพระพุทธชินราช 3 ครั้ง ก็ไม่สำเร็จ ต่อมาในวันพฤหัสขึ้น 8 ค่ำ เดือน 6 ปีมะเส็ง นพศกจุลศักราช 719 ได้ประกอบพิธีเททองหล่อพระพุทธชินราชอีกครั้งและทรงอธิษฐานขอให้เทพยดาเสด็จลงมาช่วยหล่อพระพุทธชินราชให้สำเร็จครั้งนี้ปรากฎว่ามีตาปะขาวหายตนหนึ่งได้เข้ามาปั้นหุ่นและช่วยเททองจนเสร็จเรียบร้อยพระเจ้าธรรมไตรปิฎกทรงรับสั่งให้ตาปะขาวเข้าเฝ้า จึงทรงทราบว่าตาปะขาวเดินไปทางเหนือมีคนพบครั้งล่าสุดท้ายบริเวณวัดตาปะขาวหายในปัจจุบัน จึงพากันเข้าในว่าตาปะขาวคือเทพยดาแปลงลงมาช่วยหล่อพระพุทธชินราชและได้หายตัวไปตรงบริเวณบ้านตาปะขาวหาย ทำให้ประชาชนเรียกชื่อว่า “ชุมชนบ้านตาปะขาวหาย” มาจนถึงทุกวันนี้ บ้านตาปะขาวหาย เป็นหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ติดกับลำแม่น้ำน่าน ตลอดแนวทั้งหมู่บ้าน โดยทั่วไปจะมี 3 ฤดู คือ ฤดูร้อน อากาศจะร้อนมาก เนื่องจากเป็นพื้นที่โล่งแจ้ง ไม่มีต้นไม้ปกคลุม ฤดูฝน จะมีฝนตกในปริมาณไม่มากกว่าพื้นที่อื่น ๆ ฤดูหนาวมีอากาศหนาวเพียงเล็กน้อย

ทิศเหนือ ติดต่อกับ หมู่ที่ 3
ทิศใต้ ติดต่อกับ เทศบาลนครพิษณุโลก
ทิศตะวันออก ติดต่อกับ หมู่ที่ 5 ตำบลหัวรอ
ทิศตะวันตก ติดต่อกับ แม่น้ำน่าน

มีครัวเรือน 147 ครัวเรือน ประชากร 220 คน ชาย 90 หญิง 130 คน ระดับความสุขของผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป จำนวน 164 คน พบว่าความสุข หมายถึง การรู้สึกดี การมีความสุขกับชีวิต และอยากให้ความสุขนั้นคงอยู่ไม่หายไป โดยคำนึงถึงปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความสุขจากสิ่งที่ครัวเรือนและชุมชนมีอยู่ พบว่าคนส่วนใหญ่มีระดับความสุขอยู่ในระดับดี แบ่งออกเป็นระดับ 5 จำนวน 19 คน ระดับ 6 จำนวน 41 คน ระดับ 7 จำนวน 21 คน ระดับ 8 จำนวน 23 คน ระดับ 9 จำนวน 15 คน ระดับ 10 จำนวน 25 คน ตามลำดับ ข้อมูลด้านสังคม พบว่า สมาชิกในครัวเรือนได้เข้าร่วมกิจกรรมต่างๆของชุมชนสม่ำเสมอ จำนวน 112 ครัวเรือน โดยสมาชิกในครัวเรือนได้เข้าร่วมทำกิจกรรมต่างๆ ที่ชุมชนจัดอย่างต่อเนื่อง อยู่ในระดับมากที่สุด ซึ่งสมาชิกในครัวเรือนได้ให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ให้กำลังใจซึ่งกันและกันในการจัดกิจกรรมให้บรรลุเป้าหมาย เป็นอย่างดี สมาชิกในครัวเรือนและกลุ่มเป้าหมายหลัก มีการพูดคุยเพื่อตัดสินใจร่วมกันทุกๆ กิจกรรม ทั้งเรื่องทั่วไปหรือเรื่องที่เกี่ยวกับกิจกรรมร่วมกับชุมชน อยู่ในระดับมากที่สุด โดยที่ผ่านมาสมาชิกในครัวเรือนมีการช่วยเหลือแบ่งเบาภาระงานบ้านซึ่งกันและกันอย่างเต็มใจไม่ขัดแย้ง อยู่ในระดับมากที่สุด รวมถึงเด็กและเยาวชน ได้รับการศึกษาครบทุกคนและไม่มีปัญหายาเสพติดในชุมชน ข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อม พบว่า ครัวเรือนมีการคัดแยกขยะก่อนทิ้ง จำนวน 70 ครัวเรือน โดยมีการใช้ประโยชน์จากขยะ 30 ครัวเรือน อาทิเช่นการนำ ขยะอินทรีย์ มาทำปุ๋ย การนำ ขยะรีไซเคิลมาขายเพื่อรายได้ เป็นต้น รวมถึงมีการลดการใช้ถุงพลาสติก งดใช้กล่องโฟมบรรจุอาหารในกิจกรรมการประชุม อบรม งานศพ งานบุญ และงานประเพณีต่างๆ ของชุมชน นอกจากนี้จำนวนพื้นที่สาธารณะในชุมชนที่เสี่ยงต่อการทิ้งขยะ จำนวน 2 แห่ง ได้รับการปรับปรุงและเฝ้าระวังการทิ้งขยะอยู่เสมอ ข้อมูลด้านสุขภาพ พบว่า ผู้ที่สูบบุหรี่ จำนวน 18 คน ผู้ที่บริโภคการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ จำนวน45 คน ซึ่งในชุมชนมีร้านค้า จำหน่ายบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ จำนวน 4 ร้านและที่ผ่านมาชุมชนยังไม่มีมาตรการหรือข้อตกลงบังคับใช้ร่วมกันอย่างจริงจังในประเพณี งานบุญ งานศพปลอดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ครัวเรือนมีการปลูกผักไว้กินเอง จำนวน 41 ครัวเรือน อาทิเช่น กระเพรา,ตะไคร้,ข่า,โหระพา,พริก,ผักกาด เป็นต้น และครัวเรือนที่ไม่มีการปลูกผักไว้กินเอง จำนวน 106 ครัวเรือน โดยพบผู้ที่รับประทานผักและผลไม้ น้อยกว่า 400 กรัม ต่อ 1 วัน หรือ 7 มื้อต่อสัปดาห์ จำนวน 124 คน เมนูอาหารประจำบ้าน เช่น น้ำพริกหนุ่ม น้ำพริกอ๋อง ,ผักต้ม,แกงส้ม,แกงเลียง เป็นต้น นอกจากนี้ยังพบพฤติกรรมการกินอาหารที่ไม่ปลอดภัย ซื้อผักผลไม้ที่ตลาดมาก จำนวน 50 ครัวเรือน มีครัวเรือนซื้ออาหารปรุงสำเร็จรูปมาบริโภค เฉลี่ย 1 มื้อต่อวัน จำนวน 40 ครัวเรือน พบมีค่าใช้จ่ายในการซื้อผัก ผลไม้จากตลาด เฉลี่ย 900 บาทต่อเดือน พบผู้ป่วยโรคเบาหวาน จำนวน 20 คน กลุ่มเสี่ยงโรคเบาหวาน 25 คน ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง จำนวน 26 คน กลุ่มเสี่ยงโรคความดันโลหิตสูง จำนวน 10 คน พบสารเคมีตกค้างในร่างกายในระดับเสี่ยงสูง จำนวน 50 ราย และระดับไม่ปลอดภัย จำนวน 28 ราย ด้านอุบัติเหตุ พบว่าในรอบปีที่ผ่านมา สมาชิกในครอบครัวไม่ได้ประสบอุบัติเหตุทางถนนเลย แต่พบว่าชุมชนมีจุดเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ จำนวน 2 แห่ง แยกเป็นจุดเสี่ยงในชุมชนที่สามารถแก้ไขได้โดยชุมชน 2 แห่ง

กลไกสภาผู้นำ

การก่อตัวของสภาผู้นำชุมชนเริ่มต้นจากการพี่เลี้ยงชุมชนน่าอยู่โดยนางสาวรัตติยา โตจีน ได้ประสานไปยัง นายสวง พันเรือง สมาชิกสภาเทศบาลตำบลหัวรอ ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่เคยทำโครงการชุมชนน่าอยู่ปี 2663 เพื่อสอบถามความเป็นไปได้และความพร้อมในการขับเคลื่อนงานชุมชนน่าอยู่ในพื้นที่ตำบลหัวรอและองค์การบริหารส่วนตำบลหัวรอ ซึ่งพบว่าผู้ใหญ่บ้าน มีความสนใจเข้าร่วมโครงการและได้ก่อตั้งโครงสร้างสภาผู้นำชุมชน แรกเริ่มจำนวน 17 คน ปัจจุบันมีสภาผู้นำ 17 คน ประกอบด้วยคณะกรรมการหมู่บ้าน อสม. ตัวแทนผู้สูงอายุ และตัวแทนกลุ่มต่างๆในชุมชน

หลังจากการดำเนินงานพบว่า สภาผู้นำบ้านตาปะขาวหาย หมู่ 4 มีความเข้าใจเรื่องกลไกสภาผู้นำเพิ่มขึ้น
มีโครงสร้างในการดำเนินงานชัดเจน มีการประชุมประจำเดือน ตั้งกฎกติกา มีการหารือประเด็นการปลูกและบริโภคผักในครัวเรือน รวมถึงประเด็นอื่นๆ ในชุมชนนอกเหนือ จากโครงการ สสส. มีการแบ่งบทบาทหน้าที่ชัดเจนขึ้น โดยประธานเป็นผู้ดำเนินกิจกรรมหลัก และรายงานผลการดำเนินต่อที่ประชุมทุกครั้ง มีการใช้ข้อมูลในการทำงานเพิ่มมากขึ้นและนำไปปรับใช้ในการทำแผนชุมชนพึ่งตนเอง นอกจากนี้สภาผู้นำยังมีการวิเคราะห์สถานการณ์การดำเนินกิจกรรมของชุมชนอย่างต่อเนื่องและมีการปรับแผนการดำเนินงานภายใต้สถานการณ์การระบาดโควิด 19 ปัจจุบันสภาผู้นำชุมชนมีความเข้มแข็งอยู่ในบันไดผลลัพธ์สภาผู้นำขั้นที่ 3

ในการดำเนินงานของสภาผู้นำมีการดำเนินร่วมกันกับสภาผู้นำชุมชนที่เข้าร่วมโครงการอีก 4 บ้านและร่วมกับองค์การบริหารส่วนตำบลหัวรอ ในเรื่องการปลูกและบริโภคผัก โดยมีการตั้งเป้าหมายร่วมกันคือ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ โดยปลูกผักและบริโภคผักที่ปลูก สร้างสภาผู้นำชุมชนให้มีความเข้มแข็งขึ้น และ เกิดสภาผู้นำตำบล ในการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาขยะระดับตำบล เชื่อมต่อกับ อปท. และกลไกระดับตำบลที่มีอยู่

ความสำเร็จเชิงประเด็น

ผลการดำเนินงานเชิงประเด็นด้านการปลูกและบริโภคผัก 400 กรัมต่อคนต่อวัน พบว่าเกิดกลไกสนับสนุนการปลูกผัก โดยมีกติกาชุมชน จำนวน 5 ข้อ ได้แก่ ทุกครัวเรือนต้องปลูกผักต่อเนื่องทั้งปีไว้กินเองอย่างน้อย5 ชนิด ไม่ใช้สารเคมีในผักที่ปลูก ให้ใช้สารธรรมชาติทดแทน บริโภคผักอย่างน้อยวันละ 1 มื้อ ไม่ต่ำกว่า 400 กรัม/คน/วัน หากเกิดโรคระบาด แมลง เพลี้ยในผักที่ปลูกต้องห้ามใช้สารเคมีให้แจ้งสภาผู้นำชุมชน สภาผู้นำชุมชนทุกคนต้องเป็นแบบอย่างในการปลูกผักและบริโภคผักปลอดสารเคมี มีค่าใช้จ่ายจากการซื้อผัก ผลไม้บริโภคลดลงจากเดิมร้อยละ 50 ของค่าใช้จ่ายก่อนเข้าร่วมโครงการ จาก 900 บาท เหลือ 450 บาทต่อครัวเรือนต่อเดือน

ความยั่งยืน

ในการดำเนินงานเพื่อให้เกิดความยั่งยืนในการดำเนินงานลดปัญหาของชุมชนทางสภาผู้นำได้มีแนวทางการดำเนินงานต่อไปคือ เกิดข้อตกลงร่วมในการปลูกและบริโภคผักปลอดสารระดับตำบล สู่การปฏิบัติและมีการเชื่อมโยงโครงการ”บ้านนี้มีรัก ปลูกผักกินเอง” ของอำเภอเมืองพิษณุโลก เกิดสภาผู้นำตำบล จากตัวแทนสภาผู้นำชุมชน หมู่บ้านละ 2 คน รวม 12 หมู่บ้าน ในการขับเคลื่อนประเด็นอาหารปลอดภัยระดับตำบล เชื่อมต่อกับ อปท. โดยเทศบาลตำบลหัวรอ บรรจุแผนงานโครงการปลูกและบริโภคผัก เชื่อมต่อกับแผนงาน อปท.ในปีงบประมาณ 2566 จำนวน 12 หมู่บ้าน งบประมาณ 66,000 บาท

ภาพกิจกรรมการดำเนินงานของสภาผู้นำชุมชนบ้านตาปะขาวหาย หมู่ 4

 

 

 

Shares:
QR Code :
QR Code

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ระบุข้อความ