เปลี่ยน“ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก”เป็น“สวนผักอินทรีย์”

เปลี่ยน“ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก”เป็น“สวนผักอินทรีย์”

สร้างสุขนิสัยและแหล่งผลิตอาหารปลอดภัยสู่ชุมชน

เป็นเรื่องน่าวิตกอย่างยิ่งเมื่อหน่วยงานด้านความปลอดภัยอาหาร ตรวจสอบพืชผักจากตลาดทั่วไป รวมทั้งในซูเปอร์มาร์เก็ตทันสมัย ยังพบว่ามีสารเคมีตกค้างอยู่ในปริมาณมาก สิ่งที่ทำได้มีเพียงแค่กำชับให้ผู้ผลิตคำนึงถึงความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ทางเลือกที่จะมีพืชผักปลอดภัยไว้บริโภคอย่างมั่นใจจึงมีไม่มากนัก และหากเป็นพืชผักที่ปลูกด้วยระบบอินทรีย์ก็มักมีราคาสูงกว่าพืชผักทั่วไป

ความกังวลนี้สำหรับ คุณครูวิไลวรรณ อย่างดี หัวหน้าศูนย์พัฒนาเด็กเล็กบ้านวังเจริญราษฎร์  ตำบลนาทอน อำเภอทุ่งหว้า จังหวัดสตูล มองเห็นทางออกว่าผู้บริโภคต้องเริ่มปลูกผักปลอดสารพิษไว้กินเอง โดยลงมือทำเป็นตัวอย่างแบ่งพื้นที่ส่วนหนึ่งของศูนย์พัฒนาเด็กเล็กประมาณ 1 ไร่ ปลูกพืชผักสวนครัว เพื่อใช้เป็นวัตถุดิบทำอาหารกลางวันให้แก่เด็กนักเรียนวัย  2-5 ขวบ ที่ดูแลอยู่ประมาณ 100 คน รวมทั้งครูได้รับประทานอาหารที่ปลอดภัย อีกทั้งยังฝึกฝนให้เด็กรู้จักกินผักสร้างสุขนิสัยการบริโภคอาหารที่มีประโยชน์ตั้งแต่เล็กๆ

ในขณะเดียวกันได้ชักชวนให้ผู้ปกครอง คนในชุมชนใกล้เคียงหันมาปลูกผักไว้บริโภคในครัวเรือน ด้วยการจัดทำ “โครงการเกษตรอินทรีย์ พัฒนากลไก ใส่ใจสุขภาพ” อย่างจริงจัง ด้วยการสนับสนุนของ สำนักสร้างสรรค์โอกาสและนวัตกรรม สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) มาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ ปี พ.ศ.2558 เป็นต้นมา

ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กบ้านวังเจริญราษฎร์ เป็นสถานที่รับเลี้ยงดูเด็ก ซึ่งมาจากชุมชนรอบๆ 4 หมู่บ้าน ส่วนใหญ่ผู้ปกครองประกอบอาชีพเกษตรเชิงเดี่ยว เช่น ปลูกยางพารา ปาล์มน้ำมัน สนใจแต่พืชเศรษฐกิจแทบไม่มีครัวเรือนใดปลูกผักไว้กินเอง รวมทั้งศูนย์พัฒนาเด็กเล็กต้องหาซื้อพืชผักตามท้องตลาดทั่วไปมาประกอบอาหารให้เด็กๆ ได้รับประทาน  ซึ่งไม่มั่นใจว่าปลอดภัยจากสารตกค้างหรือไม่

“ผู้ปกครองส่วนใหญ่ก็มุ่งทำมาหากิน ไม่มีเวลามาปลูกผักไว้กินเองทั้งๆที่พื้นที่ในบ้านสามารถปลูกผักได้ เพราะเอาความสะดวก ซื้อตามตลาด เราไม่รู้ที่มาของผักพวกนั้นเลย แล้วที่นี่ก็มีผักพื้นบ้านเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เราเลยมาคิดกันว่าจะทำอย่างไรให้เด็กๆได้กินอาหารที่ปลอดภัย แต่ก็ไม่ใช่ปลอดภัยเฉพาะที่โรงเรียนเท่านั้น เราจึงชักชวนผู้ปกครองให้ปลูก จะได้มีผักปลอดภัยทำกินที่บ้านด้วย” หัวหน้าศูนย์พัฒนาเด็กเล็กฯ กล่าว

คุณครูวิไลวรรณ เปิดเผยด้วยว่าหลังจากวางแผนแล้วก็ประชุมผู้ปกครอง บอกถึงผลดีของการปลูกผักไว้กินเอง สร้างกิจกรรมเชิญวิทยากรที่เชี่ยวชาญเกษตรอินทรีย์ในท้องถิ่นมาให้ความรู้ ถ่ายทอดประสบการณ์ แนะนำวิธีทำปุ๋ยหมัก ซึ่งได้รับความสนใจจากผู้ปกครองอย่างมาก จากนั้นก็สร้างคณะทำงาน มีแกนนำแบ่งโซนคอยให้การแนะนำการปลูกผักในแต่ละชุมชน และผลัดเปลี่ยนกันมาดูแลแปลงผักที่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กฯ ด้วย พืชผักที่ปลูกในศูนย์ฯ ก็สามารถนำไปแลกเปลี่ยนกับผักที่ผู้ปกครองปลูก รวมทั้งการให้เมล็ดพันธุ์ไปเพาะปลูกทำให้ผักมีความหลากหลาย เด็กๆ เองจะร่วมปลูกผักเป็นเจ้าของผักคนละกระถางด้วย

“ตอนนี้เรามีแกนนำปลูกผักประมาณ 20 คน ต่างคนก็ต่างไปปลูกที่บ้าน แล้วก็มาช่วยกันดูแลแปลงผักที่ศูนย์ฯ ด้วย เราพยายามขยายออกไปให้มากขึ้น เด็กๆ ก็ได้เห็นพืชผัก ได้ร่วมปลูกด้วย จูงใจให้เด็กอยากกินผักที่พวกเขาปลูก เราใช้เด็กเป็นตัวเชื่อมไปหาผู้ปกครองบางอย่างเราให้พันธุ์ไปปลูก บางอย่างผู้ปกครองก็เอามาให้ ตอนนี้กลุ่มปลูกผักเริ่มขยายตัวออกไป เราอยากให้ชุมชนค่อยๆ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมหันมาปลูกผักปลอดสารพิษไว้กินเองมากขึ้น”  คุณครูวิไลวรรณ กล่าว

ในฐานะผู้ปกครองที่เข้าร่วมโครงการ  วิมาท หมาดสา  หนึ่งในเจ้าหน้าที่ขององค์การบริหารส่วนตำบลนาทอน ยอมรับว่าเดิมไม่เคยมีกิจกรรมที่ทำร่วมกันระหว่างศูนย์พัฒนาเด็กเล็กกับผู้ปกครองเลย หลังจากมีโครงการปลูกผักอินทรีย์ร่วมกันสร้างความสัมพันธ์ได้พูดคุยแลกเปลี่ยนกันมากขึ้น ขณะเดียวกันองค์การบริหารส่วนตำบลนาทอน ก็ได้เข้ามาสนับสนุน ทั้งในเรื่องของการทำกระถางปลูกผักจากเศษวัสดุเหลือใช้  การนำกากน้ำตาลมาทำน้ำหมักชีวภาพเพื่อปรับปรุงดินให้เหมาะสมต่อการเพาะปลูก และการนำองค์ความรู้จากชุมชนมาถ่ายทอดแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน

“ลูกผมไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องกินผัก แต่ไม่แน่ใจว่าผักที่จะนำมากินปลอดภัยหรือเปล่า พอมีโครงการนี้ เราก็ได้ปลูกผักเอง ทำให้มีความมั่นใจว่าลูกจะได้ปริโภคผักที่ปลอดภัยจากที่เราปลูกเอง ผมทำงานอยู่ อบต.ก็ให้การสนับสนุนเท่าที่เราทำได้ ซึ่งโครงการนี้ทำให้คนชุมชนของพวกเราได้พูดคุยกันมากขึ้น ทั้งผู้ปกครอง ทั้งครูด้วย” วิมาท กล่าว

ด้าน รอบีอาด ยังปากน้ำ แม่ครัวของศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก เปิดเผยว่าอาหารมื้อกลางวันของเด็กจะมีเมนูที่มีผักเป็นส่วนผสมทุกมื้อ มีกับข้าวอย่าง  2 เน้นรสจืด ทั้งผัด ต้ม แกง หมุนเวียนกันไป และพยายามหั่นผักให้เป็นชิ้นเล็กๆเพื่อให้เด็กได้รับประทานได้ง่ายขึ้น และการมีแปลงปลูกผัก สามารถมองเห็นได้ในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กทำให้ง่ายต่อการจะคิดเมนูอาหารในแต่วันอีกด้วย

การลดรายจ่ายเมื่อไม่ต้องซื้อผักจากตลาดเป็นเพียงผลพลอยได้เท่านั้น หากแต่เป้าหมายหลักคือการสร้างความปลอดภัยด้านอาหารทั้งระบบ  จากจุดเริ่มที่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก แผ่ขยายไปสู่ชุมชน เพื่อให้ค่อยๆ เกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม สร้างการรับรู้ให้เกิดกับเด็กและผู้ใหญ่ ท้ายที่สุดก็จะนำไปสู่ค่านิยมการบริโภคอาหารที่ปลอดภัยต่อสุขภาพของทุกวัย.

Shares:
QR Code :
QR Code

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ระบุข้อความ