โครงการชุมชนน่าอยู่ชายแดนใต้: การดูแลผู้สูงอายุ บ้านสาวอ จ.นราธิวาส ปี 2565

ถอดบทเรียนพื้นที่ต้นแบบ โครงการชุมชนน่าอยู่ชายแดนใต้
บ้านสาวอ กลไกสภาผู้นำเข้มแข็งสู่ชุมชนเข้มแข็ง : การดูแลผู้สูงอายุ
โดย โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านสาว ธันวาคม 2565

กลไกสภาผู้นำเข้มแข็งสู่ชุมชนเข้มแข็งผู้สูงอายุสุขภาพดี
รู้จักบ้านสาวอ
                บ้านสาวอ ตั้งอยู่ที่หมู่ที่ 6 ตำบลสาวอ อำเภอรือเสาะ จังหวัดนราธิวาส ห่างจากอำเภอรือเสาะประมาณ 2.5 กม. มีเนื้อที่ 7.151 ตร.กม. หรือ 4,469.37 ไร่ มีประชากร 764 คน (ชาย 366 หญิง 398) แบ่งเป็น 187 ครัวเรือน ส่วนใหญ่เป็นชาวไทยมุสลิม อาศัยแบบเครือญาติ และมี 3 ชุมชนหลัก ได้แก่ บ้านสือดัน, บ้านสาวอ, และ บ้านสาวอฮีเล ชุมชนค่อนข้างยากจน แต่มีความร่วมมือระหว่างแกนนำและองค์กรในชุมชนอย่างเข้มแข็ง

หมู่ที่ ชื่อหมู่บ้าน จำนวนหลังคาเรือน จำนวนประชากร รวม
ชาย หญิง
6 สาวอ 187 366 398 764

ชาวบ้านส่วนใหญ่มีที่ดินทำกินของตัวเอง แบ่งเป็น 2 ฤดู คือ ฤดูร้อน (มี.ค. – มิ.ย.) และฤดูฝน (ก.ค. – ก.พ. ปีถัดไป) โดยเดือนฝนตกมากที่สุดคือ พ.ย. – ธ.ค. อุณหภูมิเฉลี่ย 27°C ความชื้น 60-80% ปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงทางสภาพอากาศทำให้ฤดูฝนสั้นลงและฝนตกไม่ตรงฤดูกาล
ชาวบ้านนับถือศาสนาอิสลาม 100% อาชีพหลักคือการเกษตร เช่น ทำสวน ทำนา กรีดยาง แต่ประสบปัญหาราคาพืชผลตกต่ำ ต้องพึ่งพาพ่อค้าคนกลาง และขาดแรงงานในการพัฒนาชุมชน ปัญหาความมั่นคงในพื้นที่ชายแดนใต้ทำให้ชาวบ้านวัยแรงงานย้ายไปทำงานที่อื่น ส่วนใหญ่ในชุมชนจึงเป็นผู้สูงอายุ มีปัญหายาเสพติดและการขาดแคลนกำลังคนที่จำเป็นต่อการพัฒนาชุมชน นอกจากนี้ยังมีปัญหาการลักขโมยเศษยางและมะพร้าวจากชุมชน

ความไม่น่าอยู่ของบ้านสาวอ
                 จากการวิเคราะห์ประเมินชุมชนของสภาผู้นำชุมชนบ้านสาวอ เมื่อเข้ามาร่วมดำเนินโครงการกับชุดโครงการชุมชนน่าอยู่ ได้ใช้เครื่องมือสามเหลี่ยมปัญหา และต้นไม้ปัญหามาวิเคราะห์ความไม่น่าอยู่ของบ้านสาวอ ซึ่งพบว่า

การวิเคราะห์จุดอ่อน / จุดแข็งและปัญหา / ศักยภาพของหมู่บ้าน

จุดอ่อน / ปัญหา

จุดแข็ง / ศักยภาพ

ด้านเศรษฐกิจและสภาพแวดล้อม

– รายจ่ายมากกว่ารายได้
– ภาวะหนี้สินที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้
– ต้นทุนในการผลิตสูง/ราคาผลผลิตตกต่ำ
– การใช้สารเคมีในการเกษตร
– ไม่มีอาชีพเสริม/ว่างงาน
– ไม่มีกลุ่มอาชีพที่เป็นรูปธรรม
– ไม่มีตลาดรองรับสินค้าในชุมชน
– ขยะมูลฝอย/ดินเสื่อม/ไม่มีรถเก็บขยะ
– พื้นที่น้ำท่วม
– มีภูมิปัญญาท้องถิ่น
– มีพื้นทีในการผลิตอาหาร
– มีกลุ่มปาดีกีตอ
– มีกลุ่มทำปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพ 

ด้านสุขภาพอนามัยและยาเสพติด

– โรคเรื้อรังเพิ่มสูงมากขึ้นในทุกวัยของคนในชุมชน
– ขาดการออกกำลังกาย/อุปกรณ์การออกกำลังกาย
– ขาดความรู้ในการดูแลสุขภาพและบริโภคอาหารที่ปลอดภัย
– ยาเสพติด/การลักเล็กขโมยน้อย
– ครอบครัวแตกแยก
– ไม่มีกองทุน LTC สำหรับดูแลผู้สูงอายุระยะยาว
มี อสม.ในหมู่บ้านที่พร้อมทำงาน
– มีการรณรงค์ในการควบคุมดูแลรักษาสุขภาพ

ด้านความรู้และการศึกษา

– ขาดความรู้ในการบริหารจัดการชุมชน
– ไม่สนใจข่าวสารและการอ่าน
มีแกนนำหมู่บ้านพร้อมจะบริหารจัดการชุมชน
– มีแหล่งความรู้ด้านภูมิปัญญาท้องถิ่น

ด้านการมีส่วนร่วมและความเข้มแข็งในชุมชน

– มีส่วนร่วมในทำงานของชุมชนน้อย
– ขาดการบริหารจัดการกลุ่มที่ดี
กิจกรรมตามประเพณีที่ยังก่อการรวมตัวของคนในชุมชนได้

ด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติฯ

-การใช้สารเคมีในการเกษตร มีกลุ่มทำนาปลอดสารพิษ
– มีกลุ่มปลูกผักปลอดสารพิษ

ตารางวิเคราะห์สาเหตุของปัญหา / แนวทางแก้ไข

จุดอ่อน / ปัญหา

สาเหตุของปัญหา แนวทางแก้ไข

ด้านโครงสร้างพื้นฐาน

– ถนนภายในหมู่บ้านเป็นลูกรัง – รถบรรทุกน้ำหนักเกิน – งดใช้รถบรรทุกขนาดใหญ่ในชุมชน

ด้านเศรษฐกิจ

– รายจ่ายมากกว่ารายได้
– ค่าครองชีพสูง
– ราคาผลผลิตตกต่ำ
– หนี้สิน
– ว่างงาน
ขาดการมีส่วนร่วม
– การบริโภคฟุ่มเฟือย
– ราคาต้นทุนการผลิตสูง
– ไม่มีการรวมกลุ่มกันทำ
– ค่าใช้จ่ายสูง/สินค้าราคาแพง
– มีรายได้ไม่ต่อเนื่อง
– เงินลงทุนมีน้อย
สร้างการเรียนรู้ในการบริหารจัดการกลุ่ม
– ลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น
– ผลิตอาหารเอง (ปลูกผัก เลี้ยงสัตว์)
– ผลิตพลังงานทดแทน
– จัดหาทุนในการประกอบอาชีพ
– สร้างอาชีพเสริม
– สร้างงานในหมู่บ้าน
– ผลิตปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพใช้เอง

ด้านสุขภาพและยาเสพติด

– สุขภาพอนามัย/โรคเรื้อรัง
– การบริโภคอาหารปนเปื้อน
– ขาดความรู้ในการดูแลสุขภาพ
การใช้สารเคมี
– กินอาหารไม่ถูกสุขลักษณะ
– ขาดการออกกำลังกาย
– หน่วยบริการสาธารณสุขไม่ส่งเสริมสุขภาพจริงจัง
ลดการใช้สารเคมีในการเกษตร
– ส่งเสริมการออกกำลังกาย
– ตรวจคัดกรองสารเคมีตกค้างในเลือด
– ตรวจสุขภาพปี ละ 2 ครั้ง

ด้านความรู้และการศึกษา

– ขาดความรู้ในการบริหารจัดการชุมชน
– ไม่สนใจข่าวสารและการอ่าน
– ครอบครัวยากจนขาดโอกาสทางการศึกษา
ไม่มีโอกาสในการเรียนรู้ จัดกิจกรรมพัฒนาศักยภาพทีมผู้นำชุมชน
– ทำป้ายประชาสัมพันธ์ สร้างกลุ่มไลน์ชุมชน
– ส่งเสริมให้เด็กยากจนได้รับทุนการศึกษา

ด้านการมีส่วนร่วมฯ

– มีส่วนร่วมในทำงานของชุมชนน้อย
– ขาดการบริหารจัดการกลุ่มที่ดี
ไม่เห็นความสำคัญของการมีส่วนร่วมในชุมชน
– ไม่มีเวลา มุ่งทำงานหารายได้
จัดกิจกรรมส่งเสริมการทำงานแบบมีส่วนร่ว
– สร้างกลุ่ม รวมกลุ่มจากอาชีพหลักให้มากขึ้น
– ส่งเสริมให้ครัวเรือนมีอาชีพเสริม
– อบรมให้ความรู้เรื่องการตั้งกลุ่มอาชีพ

ด้านทรัพยากรธรรมชาติฯ

– การใช้สารเคมีในการเกษตร – ขาดความรู้ความเข้าใจในการทำการเกษตรแนวใหม่ – ส่งเสริมการใช้ปุ๋ยชีวภาพ
– รวมกลุ่มผลิตปุ๋ยชีวภาพ
– ส่งเสริมการผลิตอาหารที่ปลอดภัย
– การปลูกพืชเชิงเดี่ยว การส่งเสริมจากภาครัฐ – การคืนพันธุกรรมท้องถิ่น
– การทำสวนผสมผสาน
– การส่งเสริมและพัฒนาการเกษตรริมแม่น้ำ

การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น

ก่อนทำโครงการ ชุมชนบ้านสาวอเป็นชุมชนที่สมาชิกต่างคนต่างอยู่ มีการรวมตัวทำกิจกรรมบ้าง เช่น กิจกรรมที่มัสยิดและตาดีกา รวมถึงกิจกรรมจากอบต. ชุมชนไม่มีกิจกรรมประจำหรือพื้นที่ประชุมเป็นสัดส่วน

หลังทำโครงการ ชุมชนมีการประชุมสภาผู้นำเดือนละครั้ง โดยผู้ใหญ่บ้านสามารถนำการประชุมได้ ในแต่ละโซนจะมีหัวหน้าโซนดูแลกิจกรรมต่างๆ เช่น การสำรวจและดูแลผู้สูงอายุในพื้นที่ หมู่บ้านแบ่งเป็น 3 โซน: กาปง, สือดัง, และบาตะ-บาโง ซึ่งมีจำนวนผู้สูงอายุรวม 78 คน ชุมชนได้จัดตั้งชมรมผู้สูงอายุ มีการประชุมคณะกรรมการชมรมเดือนละ 2 ครั้ง และมีการเยี่ยมเยียนผู้สูงอายุในชุมชนอย่างสม่ำเสมอ

การก่อตัวสภาผู้นำชุมชนเข้มแข็งบ้านสาวอ

ในปี พ.ศ. 2564 ชุมชนบ้านสาวอ อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส เข้าร่วมโครงการชุมชนน่าอยู่ โดยได้รับการสนับสนุนจาก สสส. และหน่วยจัดการชุมชนชายแดนใต้ ภายใต้การนำของนายยะรง วาแม ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 6 ซึ่งร่วมกับทีมผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านและคณะกรรมการสภาผู้นำชุมชน 16 คน พัฒนาการดูแลผู้สูงอายุในพื้นที่ จำนวน 78 คน โดยใช้กลไกสภาผู้นำชุมชนในการขับเคลื่อนและแก้ปัญหา พร้อมได้รับการสนับสนุนจากพี่เลี้ยง รพ.สต. บ้านสาวอ ผ่านการเรียนรู้แลกเปลี่ยนประสบการณ์จากหลายชุมชน ซึ่งช่วยเพิ่มศักยภาพในการทำงานร่วมกันเพื่อพัฒนาชุมชน

ตารางที่ 1 บทเรียนการทำงานของบ้านสาวอ

ด้าน/ประเด็น การปรับและพัฒนา
1. การดึงเอาคนดีคนเก่งในชุมชนเข้ามาทำงานร่วมกัน การดึงคนดีคนเก่งเข้ามาทำงานนั้น อาศัยการเชิญชวนมีแบบเจาะจงเป็นหลัก
2. ใช้ประเด็นเริ่มต้นในการชักชวนคนมาร่วมแก้ปัญหาชุมชน เนื่องจากผู้สูงอายุในชุมชนเริ่มมีมากขึ้น อยู่กับหลานเป็นส่วนใหญ่ และเริ่มมีปัญหาสุขภาพ จึงเกิดการหารือวิเคราะห์ ปัญหา พบว่า การดูแลผู้สูงอายุ ควรจัดทำเป็นระบบ ภายใต้การนำของผู้นำชุมและผู้เกี่ยวข้อง
3. การใช้ข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล และการคืนข้อมูลให้กับชุมชนเป็นระยะ ก่อนหน้าการดำเนินงาน ชุมชนไม่มีตัวเลข จำนวนผู้สูงอายุที่ชัดเจน แต่หลังจากชุมชนได้สำรวจข้อมูลเองพบว่าในชุมชน มีผู้สูงอายุ จำนวนทั้งสิ้น 78 ราย
4. การพัฒนาคนเพื่อให้มีความสามารถในการแก้ปัญหาได้อย่างเป็นระบบ ใช้เวทีประชุมสภาผู้นำชุมชนเป็นพื้นที่ในการพัฒนาศักยภาพของทีมงานเป็นระยะ มีพี่เลี้ยงคอยให้คำปรึกษา ละใช้เครื่องมือต่างๆมาแก้ปัญหา และสร้างกระบวนการมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาร่วมกันของคนในชุมชน
5. การสร้างการมีส่วนร่วมของทุกฝ่ายและใช้กฎกติกาชุมชนในการแก้ปัญหา บ้านสาวอได้จัดทำกติกาชุมชนโดยมีข้อกำหนดหลักคือ:
– สภาผู้นำต้องเป็นแบบอย่างที่ดี
– ห้ามขาดประชุมโดยไม่มีเหตุจำเป็น
– สภาผู้นำต้องร่วมงานทุกคน
– สภาผู้นำชุมชนต้องสื่อสารการดำเนินงานโครงการ
– ร่วมวางแผนและเสนอความคิดเห็น
– ดูแลสุขภาพผู้สูงอายุในชุมชน
– มีกิจกรรมขยับกาย 150 นาที/สัปดาห์ หรือ 10-30 นาที/วัน

พื้นที่ใกล้ถนนใหญ่มีภูเขาหลังหมู่บ้าน เป็นแหล่งกรีดยางและเพาะปลูกของชาวบ้าน บางคนทำงานในตลาดรือเสาะ ห่างจากตลาดประมาณ 4 กม.

วิธีการชวนคนมาเป็นสภาผู้นำชุมขนบ้านสาวอ มีความน่าสนใจใน 3 ขั้นตอนหลัก:

                1. การชักชวนโดยตรง: เริ่มจากการทำความเข้าใจกับแกนนำหรือกลุ่มที่มีโครงสร้างอยู่แล้ว เช่น กรรมการหมู่บ้าน หรือกลุ่มแม่บ้าน และ อสม. โดยเน้นอธิบายปัญหาที่เกิดขึ้นและเป้าหมายที่อยากเห็นการเปลี่ยนแปลงในระดับบุคคลและหมู่บ้าน

                2. การชักชวนโดยทางอ้อม: เมื่อเริ่มมีการดำเนินงานและเห็นการเปลี่ยนแปลง แกนนำที่เข้าร่วมจะเริ่มชักชวนกลุ่มอื่นๆ ในหมู่บ้าน โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่สัมผัสได้ถึงประโยชน์จากการทำกิจกรรมร่วมกัน

                3. การเชิญชวนจากกลุ่มเป้าหมาย: มุ่งเน้นกลุ่มผู้สูงอายุและครอบครัวของผู้สูงอายุ ที่มีความสนใจในประเด็นการดูแลผู้สูงอายุในชุมชน

โครงสร้างและการบริหารจัดการด้วยกลไกสภาชุมชน

การก่อตัวสภาผู้นำชุมชนบ้านบือเจาะ ได้พัฒนาการบริหารจัดการชุมชนโดยแบ่งเป็น 3 โซนตามการรับผิดชอบเดิมของ อสม. โดยมีผู้ใหญ่บ้านแต่ละโซนรับผิดชอบ และมีทีมงานอาสาสมัครสาธารณสุข ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน และตัวแทนกลุ่มต่างๆ มาช่วยดูแลปัญหาชุมชน โดยเฉพาะการดูแลผู้สูงอายุในชุมชน

ภาวะการนำ

นายยะรง วาแม ในฐานะผู้ใหญ่บ้าน ได้ขับเคลื่อนการดำเนินงานของสภาอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเน้นการประชุมประจำเดือนและการแก้ไขปัญหาชุมชนตามลำดับ ภาวะการเป็นผู้นำแบบประชาธิปไตยเน้นการตัดสินใจร่วมกัน รับฟังความคิดเห็นทุกฝ่าย และทำงานเป็นทีม โดยมีการสื่อสารสองทาง ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและความพึงพอใจในการทำงาน แต่บางครั้งอาจใช้เวลานาน เพราะต้องรอความเห็นจากทุกคนก่อนที่จะดำเนินการได้

     

กระบวนการและกิจกรรมที่นำมาสู่การเปลี่ยนแปลงที่บ้านสาวอ

การดูแลผู้สูงอายุในชุมชนสาวอเริ่มจากการเยี่ยมเยียนและกิจกรรมต่าง ๆ ที่ทำให้คนในชุมชนมีความใกล้ชิดกัน การสำรวจข้อมูลผู้สูงอายุโดยทีมสภาผู้นำชุมชน พบว่ามีผู้สูงอายุทั้งหมด 78 คน การเยี่ยมบ้านและการตั้งจุดคัดกรองสุขภาพในแต่ละโซน ช่วยให้ผู้สูงอายุสามารถเข้าถึงการดูแลสุขภาพได้สะดวกขึ้น พร้อมทั้งการสร้างสัมพันธภาพที่ดีและการช่วยเหลือกลุ่มผู้ป่วยและผู้ติดบ้าน

เกิดการสร้างกติกาของสภาผู้นำชุมชน
                  1. สภาผู้นำต้องเป็นแบบอย่างให้กับคนในชุมชน
2. ห้ามขาดประชุมโดยไม่มีเหตุจำเป็น
3. สภาผู้นำชุมชนต้องมีส่วนร่วมในการทำงานทุกคน
4. สภาผู้นำชุมชนต้องทำหน้าที่สื่อสารประชาสัมพันธ์การดำเนินงาน
5. ร่วมกันวางแผน เสนอความคิดเห็น วิเคราะห์ ประเมินผล
6. ร่วมกันดูแลสุขภาพผู้สูงอายุในชุมชน
7. เป็นแบบอย่างและส่งเสริมมกิจกรรมขยับกาย 150 นาที /สัปดาห์ หรือ 10 – 30 นาที ต่อวัน

รูปแบบการผนึกกำลังในการจัดการทรัพยากร และความผูกพันต่อเป้าหมายของสภาผู้นำชุมชนบ้านสาวอ
                  สภาผู้นำชุมชน ได้มีการสร้างความสัมพันธ์กับคณะกรรมการสภาผู้นำชุมชน ทำให้คณะกรรมการรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของสภาผู้นำ สภาผู้นำให้ความสำคัญเอาใจใส่ ดูแลเป็นอย่างดี จนทุกคนสนิทกันมากขึ้นมีความสุขในการดำเนินงาน อยากร่วมงานในระยะยาว การนัดหมายจะแจ้งผ่านกลุ่มไลน์ของสภาผู้นำ

   

กิจกรรมประชุม -หลังประชุมจะเยี่ยมบ้านตรวจคัดกรองสุขภาพผู้สูงอายุ

ความเข้มแข็งของสภาผู้นำชุมชนและโอกาสความยั่งยืนในการทำงานของสภาผู้นำชุมชนบ้านสาวอ

ชุมชนบ้านสาวอสูญเสียผู้ใหญ่ในช่วงเริ่มโครงการ งวดที่ 1 ทำให้โครงการหยุดชั่วคราว เนื่องจากกระทบสัญญากับผู้ใหญ่บ้าน แต่ได้ปรึกษาธนาคารและผู้เกี่ยวข้องเพื่อหาทางแก้ไข ปัจจุบันมีผู้ใหญ่ใหม่เข้ามาดำรงตำแหน่ง ทำให้ทีมงานกลับมาเข้มแข็งอีกครั้ง นับเป็นบทเรียนสำคัญในการบริหารโครงการ

                มิติที่ 1 การมีส่วนร่วม ผลการประเมินครั้งที่ 2 พบว่าอยู่ในระดับ 5 เนื่องจากการมีส่วนร่วมของสมาชิกน้อยกว่าร้อยละ 50 และมีสมาชิกเข้าร่วมกิจกรรมช่วงแรกน้อย แต่การประชาสัมพันธ์เพิ่มขึ้น และมีผู้ร่วมแสดงความคิดเห็นมากขึ้น หลังจาก 5 เดือน สภาผู้นำได้ประเมินความเข้มแข็งของชุมชน

                มิติที่ 2 ผู้นำชุมชน ผลการประเมินทั้ง 2 ครั้ง โดยครั้งที่ 2 พัฒนาที่ระดับ 3  พบว่าผู้นำชุมชนมาจากทุกกลุ่ม ทุกองค์กรในชุมชนสามารถทำงานได้ดี มีการพัฒนาทักษะการทำงานร่วมกันได้ทั้งในและนอกชุมชนได้ดี

                มิติที่ 3 โครงสร้างองค์กร ผลการประเมินครั้งที่ 1 ระบุว่าอยู่ในระดับ 3 เนื่องจากสภาผู้นำชุมชนประชุมสม่ำเสมอและทำงานโครงการได้ดี รวมทั้งสามารถร่วมงานกับกลุ่มและองค์กรอื่นๆ ในชุมชนได้ดี แม้จะขาดผู้นำจากการเสียชีวิตของผู้ใหญ่บ้าน แต่สภาผู้นำยังคงดำเนินการประชุมต่อไปได้

                มิติที่ 4 การประเมินปัญหา ผลการประเมินปัญหาพบว่าอยู่ในระดับ 4 ชุมชนมีการเก็บรวบรวมข้อมูลอย่างเป็นระบบ สามารถวิเคราะห์และประเมินปัญหาได้ดี รพ.สต.คืนข้อมูลให้ชุมชน ทำให้เกิดการเชื่อมโยงข้อมูลและกิจกรรมร่วมกันระหว่างชุมชนและ รพ.สต.

                มิติที่ 5 การระดมทรัพยากร ผลการประเมินครั้งที่ 1 ระดับ 3 พบว่า สภาผู้นำชุมชนมีแผนพึ่งตนเองที่สามารถระดมทุนและทรัพยากรจากภายในชุมชนได้ ส่วนผลการประเมินครั้งที่ 2 หลังดำเนินการ 5 เดือน พบว่าแผนพึ่งตนเองมีการจัดทำเวทีประชาคมในหมู่บ้านและกำหนดการใช้ทรัพยากร แต่ยังไม่ได้เริ่มดำเนินการตามแผนที่วางไว้

                มิติที่ 6 การเชื่อมโยงกับบุคคลและองค์กรภายนอก ผลการประเมินพบว่าในครั้งที่ 1 สภาผู้นำชุมชนสามารถติดต่อขอความร่วมมือจากบุคคลหรือองค์กรภายนอกได้บางส่วนตามแผนชุมชนพึ่งตนเอง ส่วนในครั้งที่ 2 หลังจากดำเนินการไป 5 เดือน พบว่า สภาผู้นำชุมชนมีความร่วมมือที่ชัดเจนกับองค์กรภายนอก โดยสามารถประสานงานและขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากหลายหน่วยงานในการสร้างเสริมอาชีพให้กับชุมชนได้สำเร็จ

                มิติที่ 7 ความสามารถในการ “ถามว่าทำไม” ผลการประเมินพบว่า ในครั้งที่ 1 ระดับ 2 การประชุมสภาผู้นำชุมชนมีการปรึกษาหารือ แต่ยังไม่มีการถามเหตุผลหรือ “ทำไมต้องทำ” ขณะที่การประเมินครั้งที่ 2 ระดับ 3 พบว่า ชุมชนเริ่มตั้งคำถามเกี่ยวกับปัญหาที่ไม่เข้าใจ เพื่อหาสาเหตุและเหตุผล สามารถแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและวิจารณ์ได้มากขึ้น รวมถึงถามถึงผลประโยชน์ที่ได้รับจากการดำเนินการนั้นๆ ซึ่งทำให้การพิจารณามีความรอบคอบมากขึ้น

               มิติที่ 8 ความสัมพันธ์กับพี่เลี้ยง ผลการประเมินโครงการครั้งที่ 1 และ 2 อยู่ในระดับ 4 โดยสภาผู้นำชุมชนเป็นผู้ตัดสินใจหลัก ส่วนพี่เลี้ยงช่วยอำนวยความสะดวก ดูแลการฝึกอบรม และสนับสนุนอื่นๆ รวมถึงการติดต่อพูดคุยและลงพื้นที่ติดตามงานตามแผนที่กำหนด

               มิติที่ 9 การบริหารจัดการโครงการ ผลการประเมินทั้ง 2 ครั้ง พบว่า ครั้งที่ 1 อยู่ในระดับ 2 เนื่องจากคณะกรรมการสภาผู้นำชุมชนยังไม่คุ้นเคยกับเครื่องมือการประเมินตาม 9 มิติ ทำให้ไม่สามารถใช้เครื่องมือได้เต็มที่ แต่หลังการประเมินครั้งที่ 1 จึงได้ปรับปรุงและเข้าใจเกณฑ์การประเมินมากขึ้น ในการประเมินครั้งที่ 2 อยู่ในระดับ 3 ถึงแม้ประธานสภาผู้นำชุมชนเสียชีวิต ทำให้การบริหารจัดการชะงัก แต่ยังสามารถดำเนินกิจกรรมต่างๆ เช่น การประชุมสภาและกิจกรรมผู้สูงอายุได้ตามแผน และชุมชนบ้านสาวอได้ปิดโครงการในงวดที่ 1 ตามเงื่อนไขของสัญญา

Shares:
QR Code :
QR Code

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ระบุข้อความ