โครงการชุมชนน่าอยู่ชายแดนใต้ บ้านบือเจาะ ม.5 จ.นราธิวาส ปี 2565

ถอดบทเรียนพื้นที่ต้นแบบ โครงการชุมชนน่าอยู่ชายแดนใต้
บ้านบือเจาะ กลไกสภาผู้นำเข้มแข็งสู่ชุมชนเข้มแข็ง : การดูแลผู้สูงอายุ
โดย โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านสาวอ ธันวาคม 2565

รู้จักบ้านบือเจาะ ชุมชนบ้านบือเจาะ อยู่ในตำบลสาวอ อำเภอรือเสาะ จ.นราธิวาส ห่างจากอำเภอ 7 กม. และจากตัวเมือง 57 กม. พื้นที่ 4,123.12 ไร่ เป็นเนินเขาและที่ราบ ชาวบ้านส่วนใหญ่มีที่ดินทำกินเอง มี 2 ฤดู คือ ฤดูร้อน (มี.ค.-มิ.ย.) และฤดูฝน (ก.ค.-ก.พ.) ฝนตกมากสุดในพ.ย.-ธ.ค. อุณหภูมิเฉลี่ย 27°C แต่สภาพอากาศเปลี่ยนแปลง ฝนตกไม่ตรงฤดูกาลและฤดูฝนสั้นกว่าฤดูร้อน

มีประชากรทั้งหมด 469 คน แบ่งเป็นชาย 251 คน และหญิง 218 คน โดยมีจำนวนครัวเรือน 127 ครัวเรือน ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม เช่น ทำสวน ทำนา และกรีดยาง ซึ่งต้องพึ่งพาอาศัยธรรมชาติ ชาวบ้านนับถือศาสนาอิสลาม ร้อยละ 100 และใช้ภาษายาวีเป็นภาษาพูดประจำถิ่น ในหมู่บ้านมีมัสยิด 1 แห่ง, สุเหร่า 1 แห่ง และโรงเรียนสอนตาดีกา 1 แห่ง สำหรับประกอบพิธีกรรมทางศาสนา มีผู้สูงอายุ 48 คนในชุมชนและมีลักษณะสังคมชนบททั่วไป

พื้นที่ติดแม่น้ำสายบุรีประสบปัญหาน้ำท่วมทุกปีระหว่างตุลาคมถึงกุมภาพันธ์ โดยได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม 70 หลังคาเรือน ชุมชนส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม 80% อาชีพรับจ้าง 15% และข้าราชการ 3% ชุมชนมีมัสยิด 1 แห่งเป็นศูนย์รวมกิจกรรม และมีสนามกีฬาหน้ามัสยิดและอาคารอเนกประสงค์สำหรับจัดกิจกรรมต่างๆ ของชุมชน

ลานกีฬาชุมชนและสนามกีฬากลาง 1 แห่ง ใช้จัดกิจกรรมและเป็นลานบินชั่วคราวของกองทัพในการเยี่ยมปชช.และปฏิบัติภารกิจในพื้นที่ใกล้เคียง

ความไม่น่าอยู่ของบ้านบือเจาะ
                 เกิดจาก 3 ปัญหาหลัก: 1. สภาพแวดล้อมไม่สะอาด
2. ขาดรายได้และโอกาสทางเศรษฐกิจ
3. ขาดการมีส่วนร่วมของคนในชุมชน

การวิเคราะห์จุดอ่อน / จุดแข็งและปัญหา / ศักยภาพของหมู่บ้าน

จุดอ่อน / ปัญหา จุดแข็ง / ศักยภาพ
ด้านเศรษฐกิจและสภาพแวดล้อม
– รายจ่ายมากกว่ารายได้
– ภาวะหนี้สินที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้
– ต้นทุนในการผลิตสูง/ราคาผลผลิตตกต่ำ
– การใช้สารเคมีในการเกษตร
– ไม่มีอาชีพเสริม/ว่างงาน
– ไม่มีกลุ่มอาชีพที่เป็นรูปธรรม
– ไม่มีตลาดรองรับสินค้าในชุมชน
– ขยะมูลฝอย/ดินเสื่อม
– พื้นที่น้ำท่วม
– มีภูมิปัญญาท้องถิ่น
– มีพื้นทีในการผลิตอาหาร
– มีกลุ่มปาดีกีตอ
– มีกลุ่มทำปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพ

ด้านสุขภาพอนามัยและยาเสพติด

– โรคเรื้อรังเพิ่มสูงมากขึ้นในทุกวัยของคนในชุมชน
– ขาดการออกกำลังกาย/อุปกรณ์การออกกำลังกาย
– ขาดความรู้ในการดูแลสุขภาพและบริโภคอาหารที่ปลอดภัย
– ยาเสพติด/การลักเล็กขโมยน้อย
– ครอบครัวแตกแยก
– อยู่ห่างไกล รพ.สต. 7 กิโลเมตร
มี อสม.ในหมู่บ้านที่พร้อมทำงาน
– มีการรณรงค์ในการควบคุมดูแลรักษาสุขภาพ

ด้านความรู้และการศึกษา

– ขาดความรู้ในการบริหารจัดการชุมชน
– ไม่สนใจข่าวสารและการอ่าน
มีแกนนำหมู่บ้านพร้อมจะบริหารจัดการชุมชน
– มีแหล่งความรู้ด้านภูมิปัญญาท้องถิ่น

ด้านการมีส่วนร่วมและความเข้มแข็งในชุมชน

– มีส่วนร่วมในทำงานของชุมชนน้อย
– ขาดการบริหารจัดการกลุ่มที่ดี
กิจกรรมตามประเพณีที่ยังก่อการรวมตัวของคนในชุมชนได้

ด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติฯ

– การใช้สารเคมีในการเกษตร มีกลุ่มทำนาปลอดสารพิษ
– มีกลุ่มปลูกผักปลอดสารพิษ

ตารางวิเคราะห์สาเหตุของปัญหา / แนวทางแก้ไข

จุดอ่อน / ปัญหา สาเหตุของปัญหา แนวทางแก้ไข
ด้านโครงสร้างพื้นฐาน
– ไม่มีประปาหมู่บ้าน – น้ำเป็นตะกอนบริโภคไม่ได้
– น้ำท่วมทุกปี
– ส่วนหนึ่งซื้อน้ำขวดดื่ม
– ที่มีรายได้ซื้อเครื่องกรองน้ำ

ด้านเศรษฐกิจ

– รายจ่ายมากกว่ารายได้
– ค่าครองชีพสูง
– ราคาผลผลิตตกต่ำ
– หนี้สิน
– ว่างงาน
ขาดการมีส่วนร่วม
– การบริโภคฟุ่มเฟือย
– ราคาต้นทุนการผลิตสูง
– ไม่มีการรวมกลุ่มกันทำ
– ค่าใช้จ่ายสูง/สินค้าราคาแพง
– มีรายได้ไม่ต่อเนื่อง
– เงินลงทุนมีน้อย
สร้างการเรียนรู้ในการบริหารจัดการกลุ่ม
– ลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น
– สร้างฐานการผลิตอาหารเอง เช่น ปลูกผัก เลี้ยงสัตว์ ทำนา กินเอง
– ผลิตพลังงานทดแทน
– จัดหาทุนในการประกอบอาชีพ
– สร้างอาชีพเสริม
– สร้างงานในหมู่บ้าน
– ผลิตปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพใช้เอง

ด้านสุขภาพและยาเสพติด

– สุขภาพอนามัย/โรคเรื้อรัง
– การบริโภคอาหารปนเปื้อน
– ขาดความรู้ในการดูแลสุขภาพ
การใช้สารเคมี
– กินอาหารไม่ถูกสุขลักษณะ
– ขาดการออกกำลังกาย
– หน่วยบริการสาธารณสุขไม่จริงจังในการส่งเสริมด้านสุขภาพ
ลดการใช้สารเคมีในการเกษตร
– ส่งเสริมการออกกำลังกาย
– ตรวจคัดกรองสารเคมีตกค้างในเลือด
– ตรวจสุขภาพปีละ 2 ครั้ง

ด้านความรู้และการศึกษา

– ขาดความรู้ในการบริหารจัดการชุมชน
– ไม่สนใจข่าวสารและการอ่าน
– ครอบครัวยากจนขาดโอกาสทางการศึกษา
ไม่มีโอกาสในการเรียนรู้ จัดกิจกรรมพัฒนาศักยภาพทีมผู้นำชุมชน
– ทำป้ายประชาสัมพันธ์ สร้างกลุ่มไลน์ชุมชน
– ส่งเสริมให้เด็กยากจนได้รับทุนการศึกษา

ด้านการมีส่วนร่วมฯ

– มีส่วนร่วมในทำงานของชุมชนน้อย
– ขาดการบริหารจัดการกลุ่มที่ดี
ไม่เห็นความสำคัญของการมีส่วนร่วมในชุมชน
– ไม่มีเวลา มุ่งทำงานหารายได้
จัดกิจกรรมส่งเสริมการทำงานแบบมีส่วนร่วม
– สร้างกลุ่ม รวมกลุ่มจากอาชีพหลักให้มากขึ้น
– ส่งเสริมให้ครัวเรือนมีอาชีพเสริม
– อบรมให้ความรู้เรื่องการตั้งกลุ่มอาชีพ

ด้านทรัพยากรธรรมชาติฯ

– การใช้สารเคมีในการเกษตร – ขาดความรู้ความเข้าใจการทำการเกษตรแนวใหม่ – ส่งเสริมการใช้ปุ๋ยชีวภาพ
– รวมกลุ่มผลิตปุ๋ยชีวภาพ
– ส่งเสริมการผลิตอาหารที่ปลอดภัย
– การปลูกพืชเชิงเดี่ยว การส่งเสริมจากภาครัฐ – การคืนพันธุกรรมท้องถิ่น
– การทำสวนผสมผสาน
– ส่งเสริมและพัฒนาการเกษตรริมแม่น้ำสายบุรี

การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
                 ก่อนทำโครงการ ชุมชนบ้านบือเจาะมีการดำเนินชีวิตแบบแยกส่วน แต่มีการรวมตัวทำกิจกรรมบางอย่าง เช่น กิจกรรมมัสยิดและตาดีกา และการช่วยเหลือจากภาครัฐในช่วงน้ำท่วม

หลังทำโครงการ ชุมชนมีการประชุมสภาผู้นำเดือนละ 1 ครั้ง ผู้ใหญ่บ้านสามารถนำประเด็นสำคัญเข้าสู่การประชุมและติดตามการดูแลผู้สูงอายุ โดยแบ่งชุมชนเป็น 7 โซนดูแลผู้สูงอายุทั้งหมด 48 คน มีการจัดตั้งคณะกรรมการชมรมผู้สูงอายุ 27 คน เพื่อเยี่ยมเยียนผู้สูงอายุทุกบ้านในชุมชนอย่างต่อเนื่อง

การก่อตัวสภาผู้นำชุมชนเข้มแข็งบ้านบือเจาะ

   

ในปี พ.ศ. 2564 ชุมชนบ้านบือเจาะเข้าร่วมโครงการชุมชนน่าอยู่ของ สสส. โดยมีผู้ใหญ่บ้านซากีย๊ะ สะแม เป็นผู้นำทีมร่วมเรียนรู้กลไกสภาผู้นำชุมชนเข้มแข็งจากหน่วยจัดการชุมชนชายแดนใต้ เพื่อพัฒนาศักยภาพและแก้ปัญหาผู้สูงอายุในพื้นที่ โดยการก่อตั้งสภาผู้นำชุมชนที่มีผู้สูงอายุ 48 คนเป็นสมาชิก พร้อมการสนับสนุนจากทีมพี่เลี้ยง รพ.สต. ผ่านการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และการทำงานร่วมกัน เพื่อสร้างความเข้มแข็งและประสิทธิภาพในการแก้ปัญหาชุมชน

ประเด็นร่วมของชุมชน คือ การดูแลผู้สูงอายุ
ในการประชุมของสภา ได้มีการวางแผนการดูแลผู้สูงอายุ จำนวน 48 คน แบ่งพื้นที่เป็น  7 โซน (ชุมชนย่อย) ในการดูแลผู้สูงอายุในชุมชนดังนี้
1. ชุมชนกาปง  จำนวน 23 คน
2. ชุมชนตันหยง จำนวน 5 คน
3. ชุมชนบาโระ จำนวน 2 คน
4. ชุมชนตะวันออก จำนวน 5 คน
5. ชุมชนจือนือเระ จำนวน 3 ราย
6. ชุมชนมะลา จำนวน 9 ราย
7. ชุมชนตาหลง จำนวน 1 คน

ตารางที่ 1 บทเรียนการทำงานของบ้านบือเจาะ

ด้าน/ประเด็น การปรับและพัฒนา
1. การดึงเอาคนดีคนเก่งในชุมชนเข้ามาทำงานร่วมกัน บ้านบือเจาะใกล้รามัน เยาวชนจบการศึกษามักไปทำงานต่างถิ่น การดึงคนมีทักษะกลับมาทำงานต้องใช้การเชิญชวนเฉพาะเจาะจง
2. ใช้ประเด็นเริ่มต้นในการชักชวนคนมาร่วมแก้ปัญหาชุมชน ผู้สูงอายุในชุมชนเพิ่มขึ้นและมีปัญหาสุขภาพ จึงต้องการการดูแลเป็นระบบ โดยมีผู้นำชุมชนและผู้เกี่ยวข้องร่วมกันจัดการ
3. การใช้ข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล และการคืนข้อมูลให้กับชุมชนเป็นระยะ ก่อนหน้าการดำเนินงาน ชุมชนไม่มีตัวเลขจำนวนผู้สูงอายุชัดเจน แต่หลังจากชุมชนได้สำรวจข้อมูลเองพบว่าในชุมชน มีผู้สูงอายุ จำนวนทั้งสิ้น 48 ราย
4. การพัฒนาคนเพื่อให้มีความสามารถในการแก้ปัญหาได้อย่างเป็นระบบ บ้านบือเจาะใช้เวทีประชุมสภาผู้นำชุมชนเพื่อพัฒนาศักยภาพทีมงานอย่างต่อเนื่อง โดยมีพี่เลี้ยงคอยให้คำปรึกษา พร้อมใช้เครื่องมือในการแก้ปัญหาและสร้างกระบวนการมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาของคนในชุมชนร่วมกัน
5. การสร้างการมีส่วนร่วมของทุกฝ่ายและใช้กฎกติกาชุมชนในการแก้ปัญหา บ้านบือเจาะได้มีการจัดประชาคมและวางกติกาที่เรียกว่า “หูกมปากัต”

พื้นที่ใกล้กับอ.รามัน จ.ยะลา ประชากรบางส่วนอาศัยในชุมชนบ้านบือเจาะ ซึ่งอยู่ในต.บาลอ แม้ว่าจะมีแม่น้ำสายบุรีคั่นกลาง แต่ก็มีสะพานบือเจาะ–บาลอเชื่อมโยงให้สามารถไปหาสู่กันได้ ประชากรส่วนหนึ่งเลือกใช้บริการโรงพยาบาลรามัน เนื่องจากใกล้กว่าและมีความเชื่อมโยงกับเครือญาติกันในตำบลบาลอ

วิธีการชวนคนมาเป็นสภาผู้นำชุมขนบ้านบือเจาะ มี 3 วิธีหลัก:
               1. การชักชวนโดยตรง: เชิญแกนนำในชุมชน เช่น กรรมการหมู่บ้าน และกลุ่มต่างๆ ให้เข้าใจปัญหาและเป้าหมายร่วมกันในการพัฒนาหมู่บ้าน
               2. การชักชวนโดยทางอ้อม: เมื่อแกนนำเห็นผลจากการทำงาน จะเริ่มชักชวนกลุ่มอื่นๆ โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่สัมผัสถึงประโยชน์
               3. การเชิญชวนจากกลุ่มเป้าหมาย: เชิญผู้สูงอายุและครอบครัวผู้สูงอายุมาร่วมขับเคลื่อนการดูแลผู้สูงอายุในชุมชน

โครงสร้างและการบริหารจัดการด้วยกลไกสภาชุมชน

 

การก่อตัวสภาผู้นำชุมชนบ้านบือเจาะได้พัฒนาระบบการบริหารจัดการชุมชนโดยแบ่งเป็น 7 โซนตามการรับผิดชอบของ อสม. ในแต่ละหมู่บ้าน โดยมอบหมายให้ผู้ใหญ่บ้านดูแลแต่ละโซน โซนละ 1 คน พร้อมทีมงานย่อยที่ประกอบด้วยอาสาสมัครสาธารณสุข ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน และตัวแทนกลุ่มต่างๆ เพื่อติดตามและดูแลผู้สูงอายุในชุมชนอย่างใกล้ชิดและมีประสิทธิภาพ

ภาวะการนำ

นางซากีย๊ะ สะแม ในฐานะผู้ใหญ่บ้าน ใช้ผู้นำแบบประชาธิปไตยในการขับเคลื่อนกิจกรรมและแก้ปัญหาชุมชน โดยเน้นการตัดสินใจร่วมกัน ฟังความคิดเห็น และทำงานเป็นทีม ทำให้ผลงานดีและเพิ่มความพึงพอใจ แม้บางครั้งต้องใช้เวลานานในการตัดสินใจร่วม

กระบวนการและกิจกรรมที่นำมาสู่การเปลี่ยนแปลงที่บ้านบือเจาะ

ความโดดเดี่ยวของผู้สูงอายุในชุมชนบ้านสาวอได้รับการแก้ไขผ่านกิจกรรมต่างๆ ที่จัดขึ้น เช่น การเยี่ยมจากสภาผู้นำชุมชนและคณะกรรมการชมรมผู้สูงอายุ ทำให้เกิดการพบปะและสร้างสัมพันธ์ที่ดีในชุมชน ผู้สูงอายุที่เจ็บป่วยหรือติดบ้านได้รับการดูแล และเริ่มมีการเชื่อมต่อกับสังคมมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีการสำรวจข้อมูลผู้สูงอายุในชุมชน ซึ่งพบว่ามีทั้งหมด 48 คนในพื้นที่แต่ละโซน

เกิดการสร้างกติกาของสภาผู้นำชุมชน

                1. สภาผู้นำต้องเป็นแบบอย่างให้กับคนในชุมชน
2. ห้ามขาดประชุมโดยไม่มีเหตุจำเป็น
3. สภาผู้นำชุมชนต้องมีส่วนร่วมในการทำงานทุกคน
4. สภาผู้นำชุมชนต้องทำหน้าที่สื่อสารประชาสัมพันธ์การดำเนินงาน
5. ร่วมกันวางแผน เสนอความคิดเห็น วิเคราะห์ ประเมินผล
6. ร่วมกันดูแลสุขภาพผู้สูงอายุในชุมชน
7. เป็นแบบอย่างและส่งเสริมมกิจกรรมขยับกาย 150 นาที /สัปดาห์ หรือ 10 – 30 นาที ต่อวัน

รูปแบบการผนึกกำลังในการจัดการทรัพยากรและความผูกพันต่อเป้าหมายของสภาผู้นำชุมชนบ้านบือเจาะ

สภาผู้นำชุมชนได้สร้าง Employee Engagement ที่มีประสิทธิภาพให้กับทีมงานคณะกรรมการ ทำให้คณะกรรมการรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของสภาและมีความสุขในการทำงาน ความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดและการดูแลเอาใจใส่ทำให้การสื่อสารและการแก้ไขปัญหาทำได้เร็วและมีประสิทธิภาพ เป้าหมายและวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนช่วยเสริมสร้างความร่วมมือ ความภาคภูมิใจ และความผูกพันระยะยาวในการพัฒนาชุมชนบ้านบือเจาะให้เจริญก้าวหน้าและไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

ความเข้มแข็งของสภาผู้นำชุมชนและโอกาสความยั่งยืนในการทำงานของสภาผู้นำชุมชนบ้านบือเจาะ

               มิติที่ 1 การมีส่วนร่วม ผลการประเมินครั้งที่ 1 พบว่า สภาผู้นำชุมชนบ้านบือเจาะอยู่ในระดับ 2 เนื่องจากสมาชิกยังไม่เข้าระบบการทำงานและการปฏิบัติตามข้อตกลง มีการเข้าร่วมประชุมและกิจกรรมน้อยกว่า 50% ในช่วง 4 เดือนแรก แต่หลังจากนั้นการประชาสัมพันธ์และการพัฒนาตนเองทำให้การมีส่วนร่วมเพิ่มขึ้น ในช่วงเดือนที่ 5 มีผู้เข้าร่วมกิจกรรมเพิ่มขึ้นถึง 256 คน ซึ่งมีการแสดงความคิดเห็นและมีส่วนร่วมในการตัดสินใจมากขึ้น ในการประเมินครั้งที่ 2 พบว่าการมีส่วนร่วมและการตัดสินใจของสมาชิกชุมชนดีขึ้น มีการแสดงความคิดเห็นและร่วมกันหาทางออกในที่ประชุมมากขึ้น

               มิติที่ 2 ผู้นำชุมชน ผลการประเมินทั้ง 2 ครั้ง พบว่าผู้นำชุมชนมาจากทุกกลุ่ม ทุกองค์กรในชุมชนสามารถทำงานได้ดี มีการพัฒนาทักษะการทำงานร่วมกันได้ทั้งในและนอกชุมชนได้ดี

               มิติที่ 3 โครงสร้างองค์กร ผลการประเมินครั้งที่ 1 ระบุว่า สภาผู้นำชุมชนมีการประชุมสม่ำเสมอและทำงานโครงการได้ดี ระดับความเข้มแข็งอยู่ที่ 4 สามารถทำงานร่วมกับกลุ่มและองค์กรอื่นๆ ได้ดีมาก หลังจาก 5 เดือน สภาผู้นำได้ประเมินครั้งที่ 2 พบว่า ยังประชุมทุกเดือน ดำเนินกิจกรรมตามแผน มีความร่วมมือทั้งในและนอกชุมชน รวมถึงการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับองค์กรอื่นได้ดี

               มิติที่ 4 การประเมินปัญหา ผลการประเมินทั้ง 2 ครั้ง พบว่าอยู่ในระดับ 3 มีการจัดเก็บข้อมูลเป็นระบบ สามารถวิเคราะห์และประเมินปัญหาได้ดี

               มิติที่ 5 การระดมทรัพยากร ผลการประเมินครั้งที่ 1 พบว่า สภาผู้นำชุมชนมีแผนพึ่งตนเองที่สามารถระดมทุนและทรัพยากรจากภายในชุมชนได้ในระดับ 4 โดยผ่านการจัดทำแผนและเวทีประชาคมในหมู่บ้าน ในการประเมินครั้งที่ 2 พบว่าแผนชุมชนพึ่งตนเองมีการกำหนดการใช้ทรัพยากรทั้งภายในและภายนอกชุมชน แต่ยังไม่ได้ดำเนินการตามแผนที่วางไว้

               มิติที่ 6 การเชื่อมโยงกับบุคคลและองค์กรภายนอก ผลการประเมินครั้งที่ 1 พบว่าสภาผู้นำชุมชนสามารถติดต่อขอความร่วมมือจากบุคคลหรือองค์กรภายนอกได้บ้าง ส่วนการประเมินครั้งที่ 2 พบว่ามีการพัฒนาขึ้น โดยสภาผู้นำชุมชนสามารถทำข้อตกลงความร่วมมือกับหลายองค์กร เช่น สำนักงานพัฒนาชุมชน และสำนักงานเกษตรอำเภอ เพื่อขอรับงบประมาณสนับสนุนโครงการเสริมอาชีพให้กับชุมชนได้สำเร็จ

               มิติที่ 7 ความสามารถในการ “ถามว่าทำไม” ผลการประเมินพบว่าในการประชุมครั้งแรก ชุมชนยังไม่ค่อยตั้งคำถาม “ทำไมต้องทำ” แต่ในการประเมินครั้งที่ 2 ชุมชนเริ่มถามมากขึ้นเกี่ยวกับเหตุผลและผลกระทบ เพื่อพิจารณาประโยชน์ที่ชุมชนจะได้รับ

               มิติที่ 8 ความสัมพันธ์กับพี่เลี้ยง ผลการประเมินทั้ง 2 ครั้งพบว่าอยู่ในระดับ 4 โดยสภาผู้นำชุมชนเป็นผู้ตัดสินใจหลัก ส่วนพี่เลี้ยงทำหน้าที่อำนวยความสะดวก ดูแลการฝึกอบรมและสนับสนุนอื่นๆ มีการพูดคุยและหารือผ่านโทรศัพท์ รวมถึงลงพื้นที่พบปะทีมงานตามแผนงานที่กำหนดและติดตามผลการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง

               มิติที่ 9 การบริหารจัดการโครงการ ผลการประเมินพบว่า ครั้งแรกอยู่ในระดับ 2 เพราะคณะกรรมการไม่คุ้นเคยกับเครื่องมือประเมิน แต่ครั้งที่ 2 ปรับตัวได้ดีขึ้น จนได้ระดับ 4 สามารถบริหารจัดการตามแผนได้ทันเวลา แก้ปัญหาชุมชนได้ดี แต่ยังต้องพัฒนาทักษะการใช้โปรแกรม คอมพิวเตอร์ และปรับปรุงสัญญาณอินเทอร์เน็ต

Shares:
QR Code :
QR Code

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ระบุข้อความ