โครงการชุมชนน่าอยู่พื้นที่ชายแดนใต้ บ้านสาวอ ม.4 จ.นราธิวาส ปี 2565
ถอดบทเรียนพื้นที่ต้นแบบ โครงการชุมชนน่าอยู่พื้นที่ชายแดนใต้
โดย โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านสาวอ ธันวาคม 2565
1. บริบทของพื้นที่
1.1 ข้อมูลสภาพในพื้นที่
บ้านดือแย ตั้งอยู่ที่หมู่ที่ 4 ต.สาวอ อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส ห่างจากอำเภอรือเสาะไปทางทิศตะวันตกประมาณ 15 กิโลเมตร มีเนื้อที่ทั้งหมด 9.964 ตารางกิโลเมตร หรือ 6,227.5 ไร่ ชุมชนมี 2 ฤดู คือ ฤดูร้อน (มีนาคม – มิถุนายน) และฤดูฝน (กรกฎาคม – กุมภาพันธ์) โดยมีฝนตกชุกในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงธันวาคม อุณหภูมิเฉลี่ยตลอดปีอยู่ที่ 27 องศาเซลเซียส และความชื้นสูงประมาณ 60-80% ชุมชนนี้มีประชากรทั้งหมด 690 คน แบ่งเป็นชาย 334 คน และหญิง 356 คน โดยส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม เช่น การทำสวน ทำนา และกรีดยาง มีจำนวนครัวเรือนทั้งหมด 120 หลังคาเรือน ประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวไทยมุสลิม ร้อยละ 100 และมี 3 ชุมชนย่อยในหมู่บ้าน ได้แก่ ชุมชนฆ้อง ชุมชนกาปง และชุมชนตันหยง นอกจากนี้ยังพบว่าชุมชนมีปัญหาน้ำท่วมทุกปีจากแม่น้ำสายบุรีและปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ทำให้ฝนตกไม่ตรงฤดูกาล สถานการณ์สุขภาพของประชากรพบว่า ผู้ป่วยโรคเบาหวานมีจำนวน 1 ราย และมีการควบคุมระดับน้ำตาลได้ดีใน 5 ราย คิดเป็นร้อยละ 45.45 ส่วนผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงมีจำนวน 47 ราย ควบคุมได้ดี 11 ราย (ร้อยละ 23.41%) และไม่สามารถควบคุมได้ 36 ราย (ร้อยละ 76.59%)
1.2 ความไม่น่าอยู่ของพื้นที่
1.2.1 การวิเคราะห์จุดอ่อน / จุดแข็งและปัญหา / ศักยภาพของหมู่บ้าน
จุดอ่อน / ปัญหา |
จุดแข็ง / ศักยภาพ |
ด้านเศรษฐกิจและสภาพแวดล้อม |
|
– ประกอบอาชีพกรีดยางพารา รายได้ตกต่ำ – ทำอาชีพเกษตรกรรม ได้ในบางเดือน และมักจะเกิดความเสียหายในเดือนตุลาคม – กุมภาพันธ์ จากความไม่แน่นอนของฤดูกาล ส่งผลกระทบจากอุทกภัยน้ำท่วมทำลายสร้างความเสียหายกับพื้นที่เกษตรกรรมของชุมชน ร้อยละ 80 – รายจ่ายมากกว่ารายได้ – ภาวะหนี้สินที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ – ต้นทุนในการทำการเกษตรสูง/ราคาผลผลิตตกต่ำ – ขาดทักษะในการใช้ความรู้ในการพัฒนาอาชีพ – ไม่มีอาชีพเสริม/ว่างงาน – สินค้าราคาแพง/ค่าครองชีพสูง – ถูกเอารัดเอาเปรียบจากพ่อค้าคนกลาง – ไม่มีกลุ่มอาชีพที่เป็นรูปธรรม – ไม่มีตลาดรองรับสินค้าในชุมชน – ขยะมูลฝอย/ดินเสื่อม – ลำคลองและเหมืองส่งน้ำตื้นเขิน – จำนวนผู้สูงอายุเพิ่มมากขึ้น มักอาศัยร่วมกับหลานๆ – เป็นชุมชนที่อยู่ห่างไกลจาก รพ.สต. เข้าถึงระบบบริการยาก – ปัญหาความไม่สงบเกิดขึ้นบ่อยครั้ง – เป็นชุมชนสีแดง (มีเหตุการณ์ความไม่สงบบ่อยครั้ง) – ถนนเข้าหมู่บ้านลำบาก และเข้าไปลึก ห่างจากถนนเส้นหลัก 5 กิโลเมตร – หลังจากพ้นช่วงน้ำท่วมในหมู่บ้านปัญหาขยะที่ลอยมากับน้ำ – ปัญหาบ่อนำไม่สะอาด – การเคลื่อนย้ายประชาชนในพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วม ต้องทำทุกปี |
– ชุมชนใช้ชีวิตแบบพอเพียง – มีการประกอบอาชีพทำนา ทำไร่ ในพื้นที่ของตนเอง – เยาวชนในพื้นที่ ส่วนใหญ่ จะเรียนในระดับสูงกว่า มัธยม – มีร้านค้าในชุมชน 2 ร้าน – มีร้านอาหารในชุมชน 2 ร้าน – มีมัสยิดเป็นศูนย์กลางการจัดกิจกรรมต่างๆ ของชุมชน |
ด้านสุขภาพอนามัยและยาเสพติด |
|
– โรคเรื้อรังเพิ่มสูงมากขึ้นในทุกวัยของคนในชุมชน – ขาดการออกกำลังกาย/อุปกรณ์การออกกำลังกาย – ขาดความรู้ในการดูแลสุขภาพและบริโภคอาหารที่ปลอดภัย – ยาเสพติด/การลักเล็กขโมยน้อย – ครอบครัวแตกแยก – ห่างไกลจาก รพ.สต. อุปกรณ์คัดกรองสุขภาพไม่เพียงพอ |
– มีการรณรงค์ในการควบคุมดูแลรักษาสุขภาพ – มีอสม.ในหมู่บ้านที่พร้อมทำงาน – มี ชรบ. เฝ้าระวังปัญหายาเสพติดในชุมชน |
ด้านความรู้และการศึกษา |
|
– ความยากจนทำให้เด็กขาดโอกาสทางการศึกษา – ขาดทักษะในการทำงานเป็นทีม – ขาดความรู้ในการสร้างทีมงานให้เข้มแข็ง |
– มีแกนนำ อสม. ทีกรรมการหมู่บ้าน ทีมคณะกรรมการมัสยิดที่มีความรู้ – มีแหล่งความรู้ด้านภูมิปัญญาท้องถิ่น |
ด้านการมีส่วนร่วมและความเข้มแข็งในชุมชน | |
– ขาดการจัดการชุมชนแบบมีส่วนร่วม การแบ่งงานที่ชัดเจนในชุมชน – มีตำแหน่งมีอำนาจในชุมชน แต่ยังใช้ไม่เต็มที่ |
– กิจกรรมตามประเพณีที่ยังก่อการรวมตัวของคนในชุมชนได้ |
ด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติฯ |
|
– การใช้สารเคมีในการเกษตร | – มีกลุ่มเลี้ยงปลา – มีกลุ่มเกษตรอินทรีย์ – ทำการเกษตรปลดสารพิษ |
ตารางวิเคราะห์สาเหตุของปัญหา / แนวทางแก้ไข
จุดอ่อน / ปัญหา | สาเหตุของปัญหา | แนวทางแก้ไข | ||
ด้านโครงสร้างพื้นฐาน | ||||
– การคมนาคมไม่สะดวก – ไฟฟ้าสาธารณะไม่เพียงพอ – ไม่มีประปาหมู่บ้าน – สัญญาณโทรศัพท์ ขัดข้อง |
– รถบรรทุกเกินน้ำหนัก – งบประมาณหนุนเสริมมีน้อย – ไม่มีงบ |
– ปรับปรุงซ่อมแซมถนน – ขยายเขตไฟฟ้าให้ทั่วถึง – ติดตั้งประปาสาธารณะในที่ชุมชน – ขยายสัญญาณโทรศัพท์ให้ครอบคลุมทุกเครือข่าย |
||
ด้านเศรษฐกิจ |
||||
– ผลิตขายในชุมชน | – ขาดความรู้ในการสร้าง – ขยายการตลาด |
– หน่วยงานรัฐเข้ามาพัฒนากระบวนการผลิต กระบวนตลาด การจัดทำบัญชี การสร้างอาชีพในกลุ่มว่างงาน | ||
ด้านสุขภาพและยาเสพติด |
||||
– ไม่ตรวจสุขภาพประจำปี – ขาดการดูแลด้านสุขภาพ – เยาวชนเสี่ยงติดยาเสพติด – ผู้สูงอายุขาดการดูแล – ไม่มีกิจกรรมออกกำลังกายในผู้สูงอายุ |
– อยู่ห่างไกล รพ.สต. – อยู่กับบุตรหลาน – ยาเสพติดเข้าถึงง่าย เยาวชนว่างงาน – ลูกหลาน ไปทำงานต่างถิ่น – ไม่มีทักษะออกกำลังเพื่อสุขภาพ |
– รพ.สต.ยกระดับการจัดบริการ สนับสนุนเครื่องวัดความดันโลหิต เครื่องเจาะเบาหวาน และตั้งจุดบริการสุขภาพ 3 จุด ในชุมชน สื่อสารผ่านระบบออนไลน์ – แบ่งทีมดูแลผู้สูงอายุเป็น 3 ทีมในแต่โซน – สร้างงานสร้างอาชีพให้กับกลุ่มเยาวชน – จัดอบรมความรู้ให้กับเยาวชนกลุ่มเสี่ยงให้มีทักษะในการใช้ชีวิต ทักษะการปฏิเสธ ทักษะเยาวชนที่ชุมชนหวังพึ่งพาในอนาคต – จัดทีมชุมชนร่วมดูแล – อบรมทักษะการออกกำลังกาย และสอนทักษะการขยับกายง่ายๆ ให้ผู้สูงอายุได้ปฏิบัติตัว |
||
ด้านความรู้และการศึกษา |
||||
– ความยากจนทำให้ขาดโอกาสทางการศึกษา – ขาดทักษะในการทำงานเป็นทีม – ขาดความรู้ในการสร้างทีมงานให้เข้มแข็ง |
–ไม่มีเงิน ค่าใช้จ่ายที่จะส่งเสียให้บุตรหลานได้รับการศึกษาที่สูงขึ้น | – ส่งเสริมให้เข้าถึงการศึกษาฟรี ที่มีในพื้นที่ใกล้เคียง – อบรมพัฒนาทีมผู้นำชุมชน – สอนให้ทีมผู้นำได้ร่วมแก้ไขปัญหาง่ายๆ ร่วมกัน |
||
ด้านการมีส่วนร่วมฯ |
||||
– ขาดการจัดการชุมชนแบบมีส่วนร่วม การแบ่งงานที่ชัดเจนในชุมชน – มีตำแหน่ง มีอำนาจการบริหารแต่ขาดทักษะในการทำงานเป็นทีม |
– ไม่เห็นความสำคัญของการมีส่วนร่วมและ การทำงานตามบทบาทของตนเองในชุมชน – ไม่มีเวลา มุ่งทำงานหารายได้ |
– จัดกิจกรรมส่งเสริมการทำงานแบบมีส่วนร่วมในชุมชน – จัดตั้งสภาผู้นำชุมชนให้มีการประชุมหารือการพัฒนา และแก้ไขปัญหาต่างๆในชุมชนทุกเดือน อย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง |
||
ด้านทรัพยากรธรรมชาติฯ |
||||
– การใช้สารเคมีในการเกษตร – ปริมาณขยะจำนวนมาก |
– ปฏิบัติตามกันมาในชุมชน – จากการแนะนำจากเกษตรกรรมด้วยกัน – มุ่งที่ผลผลิต ไม่คำนึงถึงอันตราย – ไม่มีรถจัดเก็บขยะ |
– ส่งเสริมการใช้ปุ๋ยชีวภาพ – รวมกลุ่มผลิตปุ๋ยชีวภาพ – ส่งเสริมการผลิตอาหารที่ปลอดภัย – ขุดหลุดขยะในชุมชน |
- ความสำเร็จและผลลัพธ์ของพื้นที่ต้นแบบ
1. เพื่อให้เกิดกลไกสภาผู้นำชุมชน สามารถบริหารชุมชนได้อย่างเข้มแข็ง | 2. เพื่อให้สภาผู้นำชุมชนขับเคลื่อนงานผู้สูงอายุให้มีกิจกรรมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมทางกายไม่น้อยกว่า 150 นาที /สัปดาห์ | ||
ผลลัพธ์ที่ตั้งไว้ | ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริง | ผลลัพธ์ที่ตั้งไว้ | ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริง |
1.1 เกิดกลุ่มสภาผู้นำชุมชนที่มีความหลากหลาย 1.2 มีการจัดเก็บข้อมูลและทำแผนจัดการชุมชน 1.3 มีขับเคลื่อนและปรับแผนให้สำเร็จ 1.4 เชื่อมโยงความร่วมมือกับทุกกลุ่มได้ |
มีการประชุมเดือนละ 1 ครั้ง – มีการรวมจัดทำแผนชุมชน – มีการขับเคลื่อนประเด็นผู้สูงอายุ – มีการทำงานกับหลากหลายกลุ่ม ในหมู่บ้าน และนอกหมู่บ้ |
2.1 กลุ่มผู้สูงอายุมีการออกกำลังกาย 150 นาที / สัปดาห์ 2.2 เกิดชมรมการออกกำลังกายในผู้สูงอายุ 1 ชมรม 2.3 เกิดสิ่งสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อกิจกรรมทางกายในผู้สูงอายุ 2.4 เกิดกลไกการดูแลผู้สูงอายุติดบ้าน ติดเตียงโดยการยืดเหยียด |
สูงอายุมีการยืดเหยียบ 30 นาที ต่อวัน จำนวน 38 คน – มีคณะทำงานชมรมผู้สูงอายุ 1 ชมรม – มีการพัฒนาสนามกีฬาของหมู่บ้าน 1 แห่งสำหรับพัฒนาเป็นที่ออกกำลังกายของหมู่บ้าน – มีการติดตามเยี่ยม ผู้สูงอายุในหมู่บ้าน โดยทีมชมรมผู้สูงอายุ ร่วมกับเจ้าหน้าที่สาธารณสุขบริบาล |
- กิจกรรมสำคัญ และปัจจัย/เงื่อนไขที่นำไปสู่ความสำเร็จของพื้นที่ต้นแบบ
ผู้นำชุมชนมีภาวะในการนำ สามารถนำชุมชนในการขับเคลื่อนกิจกรรมได้ดี ในพื้นที่หมู่ 4 จุดแข็งคือ ทีมสภาผู้นำมีทีมงานที่เข้มแข็ง ประสานงานในการทำงานของสภาได้เร็ว แบ่งงานกันทำ และช่วยเหลือในกิจกรรมของสภา โดยมีจุดมุ่งหมายเดียวกัน คือ พัฒนาชุมชนให้น่าอยู่
- พัฒนาการและกลไกการดำเนินงานของพื้นที่ต้นแบบ
4.1 การก่อตัวจุดจัดการ
ชุมชนบ้านดือแยเริ่มพัฒนาตัวเองโดยการจัดประชุมกลุ่มเล็กๆ เพื่อหารือและสร้างทีมงาน โดยมีการใช้กลุ่มแกนนำเดิม เช่น ผู้ใหญ่บ้าน คณะกรรมกามัสยิด และทีมงานอสม. ที่มีบทบาทเป็นที่ยอมรับในชุมชน มาร่วมเป็นคณะทำงานเพื่อสร้างสภาผู้นำชุมชน
4.2 เป้าหมายร่วมของกลุ่มแกนนำ
ชุมชนได้คัดเลือกประเด็นการดูแลผู้สูงอายุ โดยแบ่งพื้นที่เป็น 3 โซน ได้แก่ โซนฆ้อง, โซนกาปง, และโซนตันหยง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดูแล สภาผู้นำชุมชนจัดตั้งชมรมผู้สูงอายุ (ชมรมชราธิวาสบ้านดือแย) ซึ่งมีคณะทำงาน 27 คน ดูแลและช่วยเหลือผู้สูงอายุในแต่ละโซนอย่างเสมอภาค โดยมีการเยี่ยมเยียนและเก็บข้อมูลความต้องการ รวมถึงส่งเสริมการออกกำลังกายและขยับกายในกลุ่มผู้สูงอายุ
4.3 กระบวนการสำคัญในการสร้างกลุ่มแกนนำ และความต่อเนื่อง
กระบวนการสำคัญในการสร้างกลุ่มแกนนำ เพื่อให้การทำงานมีความต่อเนื่อง ชุมชนได้ดำเนินการคัดเลือกคณะทำงานจากกลุ่มแกนนำ กลุ่มต่างๆในชุมชน เพื่อส่งเสริมกระบวนการมีส่วนร่วมและสร้างความหลากหลาย ใช้มัสยิดเป็นฐานกลางในการประชุม วางแผน วิเคราะห์ ประเมินผล และเสนอแนะแนวทางการปรับปรุงงานและแก้ไขปัญหาต่างๆ ในพื้นที่
4.4 ความต้องการและการได้รับการหนุนเสริมในปัจจุบัน และจากบุคคลภายนอก
ชุมชนบ้านดือแยเป็นชุมชนใหม่ที่เข้าร่วมโครงการเพื่อพัฒนาศักยภาพในด้านวิชาการและการใช้เครื่องมือสมัยใหม่ในการพัฒนาชุมชน โดยเฉพาะในการประเมินความก้าวหน้าของทีมสภาผู้นำและกิจกรรมต่างๆ ชุมชนต้องการให้คณะทำงานมีโอกาสพัฒนาศักยภาพในหลายๆ เวที เพื่อเพิ่มประสบการณ์ในการทำงานมากขึ้น กิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ช่วยเสริมพลังทีมงานและสร้างแรงบันดาลใจจากการเห็นการทำงานเพื่อนต่างหมู่บ้าน ซึ่งนำไปสู่การพัฒนาให้ดียิ่งขึ้น
4.5 ความรู้ที่จำเป็นต่อการดำเนินงาน แบ่งตามกลุ่มเป้าหมายของการใช้ คือ
1. กลุ่มทีมงานสภาผู้นำชุมชน ในกระบวนการสร้างความเข้มแข็งของหมู่บ้านอย่างมีส่วนร่วม การใช้เครื่องประเมินผล การจัดทำบันไดผลลัพธ์ การใช้โปรแกรมบันทึกข้อมูลโครงการ
2. กลุ่มประชาชนควรมีความรู้ในด้านการดูแลสุขภาพตามประเด็น โดยเฉพาะความรู้ในการดูแลผู้สูงอายุในพื้นที่
4.6 โครงสร้างและกรอบการบริหารจัดการของชุมชน
การสร้างการมีส่วนร่วมในกิจกรรมต้องมีปัจจัยที่ส่งเสริมทั้งในด้านการเข้าถึงและความสัมพันธ์ที่เหมาะสม เช่น ภาวะผู้นำ กฎระเบียบ และรูปแบบการทำงานที่โปร่งใส หากชุมชนไม่จัดช่องทางหรือรูปแบบการมีส่วนร่วมที่ชัดเจน ประชาชนจะไม่เข้าร่วม หรือเข้าร่วมแล้วไม่ตอบสนองตามที่คาดหวัง
ในชุมชนบ้านดือแย การมีส่วนร่วมถูกส่งเสริมผ่านการเปิดโอกาสให้ทุกคนเข้ามามีส่วนร่วมโดยตรงหรือผ่านตัวแทน พร้อมกับการกำหนดเวลานัดหมายและกิจกรรมที่ชัดเจน ทำให้ผู้เข้าร่วมสามารถกำหนดเงื่อนไขของตนเองได้
ปัจจัยสำคัญในการเสริมสร้างการมีส่วนร่วมคือ ความศรัทธาและความเชื่อถือในผู้นำหรือบุคคลสำคัญ ซึ่งเป็นแรงจูงใจสำคัญในการทำให้ประชาชนมีส่วนร่วมในกิจกรรมต่างๆ
4.7 กำหนดลักษณะกิจกรรมที่แน่นอน
ปัจจัยอำนาจในการส่งเสริมกิจกรรมของการมีส่วนร่วม โดยปกติที่ผ่านมาในกิจกรรมหนึ่ง ๆ ที่ชุมชนได้จัดขึ้น โดยมีปัจจัยที่มีผลต่อการมีส่วนร่วม ได้แก่ 1. ความศรัทธาที่มีต่อความเชื่อถือบุคคลสำคัญ ทำให้ประชาชนมีส่วนร่วมในกิจกรรมต่าง ๆ
สภาผู้นำชุมชนบ้านดือแยกำหนดกิจรรมของชุมชน โดยกำหนดประชุมสภาผู้นำชุมชนเดือนละ 1 ครั้ง ที่ทำการผู้ใหญ่บ้าน หรือ ที่มัสยิดบ้านดือแย
กำหนดให้ประชุมเดือนละ 2 ครั้ง เพื่อหารือปัญหาในการดูแลผู้สูงอายุในชุมชน หลังประชุมมีการเยี่ยมบ้านผู้สูงอายุและขยับกายในกลุ่มผู้สูงอายุ
5. การวิเคราะห์โอกาส ความต่อเนื่อง และความยั่งยืนของพื้นที่ต้นแบบ
5.1 ความเข้มแข็งของชุมชนที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลง
มิติที่ 1 การมีส่วนร่วม ผลการประเมินครั้งที่ 1 อยู่ในระดับที่ 3 และครั้ง 2 อยู่ในระดับที่ 5 คณะกรรมการเริ่มเข้าใจและให้ความสำคัญในการประชุม
มิติที่ 2 ผู้นำชุมชน ผลการประเมินครั้ง 1 ผู้นำชุมชนไม่ได้เกิดจากความหลากหลาย และได้ประชุมหารือเพื่อให้เกิดความหลากหลาย ในการประเมินครั้งที่ 2 พบว่าผู้นำชุมชนมาจากทุกกลุ่ม ทุกองค์กรในชุมชนสามารถทำงานได้ดี มีการพัฒนาทักษะการทำงานร่วมกันได้ทั้งในและนอกชุมชนได้ดี ในระดับที่ 4
มิติที่ 3 โครงสร้างองค์กร ผลการประเมินครั้งที่ 1 พบว่าอยู่ในระดับ 3 เนื่องจากสภาผู้นำชุมชนมีองค์ประกอบการประชุมกันสม่ำเสมอ และทำงานโครงการได้เป็นอย่างดี สามารถทำงานร่วมกันกับกลุ่มและองค์กรอื่นๆในชุมชนได้ดีมาก จากผลการดำเนินงานในระยะเวลา 6 เดือนทางสภาผู้นำได้มีการประเมินความเข้มแข็งโครงสร้างองค์กรครั้งที่ 2 ขึ้นพบว่าสภาผู้นำมีการประชุมกันทุกเดือน ดำเนินกิจกรรมโครงการตามแผนที่วางไว้ สามารถทำงานร่วมกันในชุมชนและนอกชุมชนได้ดี มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับองค์กรอื่นได้ ผลการประเมินในครั้งที่ ในระดับที่ 4
มิติที่ 4 การประเมินปัญหา ผลการประเมินครั้งที่ 1 ในระดับที่ และประเมินครั้งที่ 2 ในระดับ 4 โดยชุมชนมีการจัดเก็บและรวบรวมข้อมูลอย่างเป็นระบบ สามารถนำมาวิเคราะห์และประเมินปัญหาได้ดี สามารถแก้ไขปัญหาได้
มิติที่ 5 การระดมทรัพยากร ผลการประเมินครั้งที่ 2 พบว่าอยู่ในระดับ 4 สภาผู้นำชุมชนมีแผนชุมชนพึ่งตนเองที่สามารถระดมทุนและทรัพยากรจากภายในชุมชนได้ จากผลการดำเนินงานในระยะเวลา 6 เดือนทางสภาผู้นำได้มีการประเมินความเข้มแข็งการระดมทรัพยากร มีแผนชุมชนพึ่งตนเองที่เกิดจากการจัดทำเวทีประชาคมในหมู่บ้าน มีการกำหนดการใช้ทรัพยากรทั้งภายในและภายนอกชุมชนไว้ในแผนแต่ยังไม่ได้ดำเนินการตามแผนที่วางไว้
มิติที่ 6 การเชื่อมโยงกับบุคคลและองค์กรภายนอก (เพื่อหาหุ้นส่วนพันธมิตร แนวร่วม) ผลการประเมินครั้งที่ 2 ระบุว่า สภาผู้นำชุมชนอยู่ในระดับ 4 ซึ่งสามารถติดต่อขอความร่วมมือจากบุคคลหรือองค์กรภายนอกตามแผนชุมชนพึ่งตนเองได้บ้างแล้ว ภายในระยะเวลา 6 เดือน สภาผู้นำชุมชนได้ประสานงานกับหน่วยงานต่างๆ เช่น สำนักงานพัฒนาชุมชน และ อบต.บ้านสาวอ เพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณและพัฒนาศักยภาพทีมงานในการดูแลผู้สูงอายุ
มิติที่ 7 ความสามารถในการ “ถามว่าทำไม” ผลการประเมินความสามารถในการ “ถามว่าทำไม” ครั้งที่ 2 ระดับ 4 พบว่าชุมชนเริ่มตั้งคำถามเกี่ยวกับปัญหาชุมชนมากขึ้น เช่น ถามถึงเหตุผลและผลกระทบจากการตัดสินใจต่างๆ เช่น วิธีดูแลผู้สูงอายุในช่วงน้ำท่วม และการจัดเตรียมเรือเพื่อช่วยเหลือพื้นที่เสี่ยง ชุมชนสามารถแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและแย้งกันได้เพื่อหาคำตอบที่ดีที่สุด
มิติที่ 8 ความสัมพันธ์กับพี่เลี้ยง (ตัวแทนองค์กรภายนอก) ผลการประเมินครั้งทั้ง 2 ครั้งพบว่าอยู่ในระดับ 4 ในการดำเนินโครงการ สภาผู้นำชุมชนเป็นผู้ตัดสินใจ พี่เลี้ยงเป็นผู้ช่วยอำนวยความสะดวก ดูแลด้านการฝึกอบรมและการสนับสนุนอื่นๆ เช่นการจัดทำบัญชีการเงิน การรายงานผลการดำเนินกิจกรรม เข้าร่วมกิจกรรมกับชุมชน
มิติที่ 9 การบริหารจัดการโครงการ ผลการประเมินทั้ง 2 ครั้ง พบว่าอยู่ในระดับ 4 สภาผู้นำชุมชนบริหารจัดการได้ โดยพี่เลี้ยงช่วยเหลืออย่างจำกัดอยู่ในขอบเขต สภาผู้นำชุมชนได้รับการเพิ่มทักษะการบริหารจัดการแล้ว ดำเนินงานตามแผนที่วางไว้ได้ทันเวลา ทุกกิจกรรม มีการสรุปผลการดำเนินงาน มีการนำเสนอปัญหา และร่วมกันแก้ปัญหาให้กับชุมชนได้ดี ชุมชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
- ผลการดูแลสุขภาพตามประเด็นร่วม
ผลการดำเนินงานได้พัฒนากระบวนการ “คอสฟ์นรา” ในการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุในชุมชนให้มีความครอบคลุมด้วย 6 กิจกรรมหลัก ดังนี้
กิจกรรมที่ 1 ค: ส่งเสริมให้ผู้สูงอายุได้รับการประเมิน/ คัดกรองสุขภาพตามเกณฑ์ทุกปี
กิจกรรมที่ 2 อ: ผู้สูงอายุได้รับการส่งเสริม / ดูแล ด้านการออกกำลังกาย อาหาร อารมณ์
กิจกรรมที่ 3 ส: ผู้สูงอายุ ไม่ดื่มสุรา ไม่สูบบุหรี่ สิ่งแวดล้อมรอบบ้านดีเอื้อต่อสุขภาพ
กิจกรรมที่ 4 ฟ: ผู้สูงอายุฟันดี กินอาหารอร่อย / มี (ทำ) ฟันปลอมใช้
กิจกรรมที่ 5 น: ผู้สูงอายุนอนและดื่มน้ำสะอาด มีน้ำดื่มเพียงพอ และมีใช้นวัตกรรม ผู้สูงอายุที่เหมาะสม
กิจกรรมที่ 6 ร: “ร่วมมือ” ร่วมดูแลผู้สูงอายุในชุมชน (ร่วมคิด ทำ ประเมินผล แก้ไข/พัฒนา และแก้ไขปัญหาสุขภาพผู้สูงอายุตามสภาพปัญหารายคน)พบว่าผู้สูงอายุกลุ่มเสี่ยงจำนวน 8 รายลดลง เหลือ 5 รายและกลุ่มดีจำนวน 23 ราย เพิ่มขึ้นเป็น 26 ราย ไม่พบผู้ป่วยรายใหม่ในชุมชน
พบว่าผู้สูงอายุติดสังคม เพิ่มขึ้นจาก 33 รายเป็น 36 ราย ติดบ้านจาก 9 ราย ลดลง เป็น 6 ราย ไม่พบผู้สูงอายุติดเตียงในช่วงของการทำโครงการ ผู้สูงอายุ จำนวน 42 ราย ได้รับการดูแลจากทีมสภาผู้นำชุมชนอย่างเท่าเทียมและเป็นธรรม