‘กุดประทายโมเดล’ ฟื้นธรรมชาติในนาข้าว เพราะความปลอดภัยสำคัญที่สุด
‘ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว’ เป็นคำคุ้นหูที่ใครหลายคนมักได้ยินเป็นประจำ แต่ทุกคนทราบกันมั้ยคะว่าตอนนี้ในหลายๆ พื้นที่ไม่เป็นเหมือนคำที่กล่าวไว้ข้างต้นแล้ว แต่กลับกลายเป็น ‘ในน้ำไม่มีปลา ในนาข้าวมีแต่สารเคมี’ ซึ่งจากปัญหาที่เกิดขึ้นนี้ต้องรีบดำเนินการแก้ปัญหาโดยด่วน อย่างที่พี่เสฎฐวุฒิ กลิ่นบัว ผู้ใหญ่บ้านกุดประทายหมู่ 5 ต.กุดประทาย อ.เดชอุดม จ.อุบลราชธานี ได้ร่วมกันจัดตั้ง ‘สภาผู้นำชุมชนน่าอยู่บ้านกุดประทาย’ เพื่อดำเนินการแก้ไขปัญหานี้
พี่เสฎฐวุฒิ ได้เล่าถึงปัญหาที่ได้พบเจอว่า “ผมอยากให้ชาวบ้านหันมาดูแลธรรมชาติมากขึ้นโดยเฉพาะในนาข้าว เพราะปัจจุบันชาวบ้านใช้สารเคมีในนาเยอะมาก จนทำให้ปูปลาหายหมด คนก็เป็นโรคเป็นภัย อาหารในนาจากที่เคยอุดมสมบูรณ์ก็หายากมากเพราะมันเต็มไปด้วยสารเคมี”
“คนมักง่าย ใช้สารเคมี ฉีดยาฆ่าหญ้าแบบไม่กลัว ยิ่งช่วงหลังๆ ชาวบ้านหันมาทำนาหว่านมากขึ้น ทำให้ต้องฉีดยาคุมหญ้า อีกทั้งการทำนาทุกวันนี้ง่ายมากเพราะใช้เครื่องทุ่นแรงเกือบทั้งหมด ทั้งการหว่าน การเก็บเกี่ยว ทำให้ชาวบ้านเกิดความเคยชินที่ต้องทำทุกอย่างรวดเร็วเพื่อให้ทันคนอื่น” พี่เสฎฐวุฒิ ผู้ใหญ่บ้านกุดประทายเล่า
ในส่วนของแนวทางการแก้ปัญหา พี่เสฎฐวุฒิ ได้เล่าให้ฟังต่อว่าเริ่มจากการจัดเวทีสร้างความเข้าใจเพื่อให้ชาวบ้านตระหนักถึงพิษภัยของสารเคมี การรวมกลุ่มชาวบ้านเพื่อให้เข้ามาเป็นสมาชิกทำนาอินทรีย์ เดินทางไปศึกษาดูงานพื้นที่ต้นแบบที่ทำนาอินทรีย์ จัดตั้งธนาคารปุ๋ยอินทรีย์ ฝึกทำน้ำหมักชีวภาพ และการใช้ปุ๋ยพืชสด เช่น การปลูกถั่วพร้า การหว่านปอเทืองในแปลงนา เพื่อปรับปรุงสภาพดินในการเตรียมความพร้อมเพื่อทำนาอินทรีย์ รวมถึงการจัดแปลงนาของสมาชิกแต่ละคนในเนื้อที่ประมาณคนละ 2 ไร่ เพื่อทำนาเปรียบเทียบระหว่างการทำแบบใช้สารเคมีและการทำนาแบบอินทรีย์ เพื่อเปรียบเทียบข้อแตกต่างให้ชาวบ้านได้เห็นผลที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น
ปัจจุบันแม้ว่าในผืนนาของชาวบ้านกุดประทายจะยังไม่กลายเป็นหมู่บ้านทำนาอินทรีย์อย่างสมบูรณ์แบบเหมือนหมู่บ้านต้นแบบที่เด่นๆ ระดับประเทศ แต่ก็ถือว่าที่นี่คือต้นแบบแห่งความร่วมมือและความพยายามในการรวมกลุ่มเพื่อแก้ปัญหา ซึ่งถือว่าน่าชื่นชมอย่างมาก ยิ่งในสภาวการณ์ที่เกษตรกรส่วนมากไม่ค่อยคำนึงถึงผลกระทบเรื่องธรรมชาติและผลกระทบด้านสุขภาพจากการทำเกษตรที่มาพร้อมสารเคมี ยิ่งมีความจำเป็นต้องให้กำลังใจชาวบ้านกลุ่มนี้ เพราะอย่าลืมว่าโดยความเป็นจริงแล้ว ชีวิตคนเรานั้นจะมีความสุขได้ก็ด้วยการมีอาหารที่ปลอดภัยและอยู่ท่ามกลางธรรมชาติที่บริสุทธิ์ นี่คือตัวชี้วัดแห่งคุณภาพชีวิตที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง นอกจากนี้อย่าลืมนำแนวคิดดีๆ แบบนี้ไปปรับใช้กับชุมชนของตนเองกันดูนะคะ