
บทเรียนโครงการชุมชนน่าอยู่: โมเดล รพ.สต.ดงคู่ พื้นที่บ้านห้วยติ่ง ม.4 จ.สุโขทัย
บทเรียนการดำเนินงานของกลไกการดำเนินงานโครงการชุมชนน่าอยู่ โมเดล รพ.สต. (รพ.สต.ดงคู่)
พื้นที่โครงการชุมชนน่าอยู่ หมู่บ้านห้วยติ่ง หมู่ที่ 4 ตำบลดงคู่ อำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย
โดย นายรณชัย เชลียงรัชต์ชัย
ทีมสนับสนุนวิชาการ หน่วยจัดการชุมชนน่าอยู่ภาคเหนือ
1.บริบทของพื้นที่
บ้านห้วยติ่ง หมูที่ 4 ตำบลดงคู่ เขตรับผิดชอบ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลดงคู่ ชื่อหมู่บ้าน ตั้งชื่อตามลักษณะภูมิศาสตร์เนื่องจากมีลำห้วยต่างๆในพื้นที่ ตั้งอยู่ห่างจากอำเภอศรีสัชนาลัย เป็นระยะทาง 14 กิโลเมตร ตำบลดงคู่เดิมอยู่รวมกับตำบลบ้านตึก คือ หมู่ที่ 7 และหมู่ที่ 8 ในอดีตตำบลดงคู่ มีสภาพแวดล้อมเป็นป่ารกร้าง ทางเข้าตำบลดงคู่ เต็มไปด้วยพืชพรรณไม้ จึงเป็นที่มาของชื่อตำบลดงคู่
ประชากรส่วนใหญ่ ย้ายฐิ่นฐานจากจังหวัดอุตรดิตถ์ มาทำไร่ทำนา และตั้งบ้านเรือนจนถึงปัจจุบัน นับถือพุทธศาสนา มีวัฒนธรรมประเพณีและเทศกาลที่สำคัญของหมู่บ้าน ได้แก่ ประเพณีสักการะเจ้าพ่อขาเหล็ก,ประเพณีทำบุญกลางบ้าน ประเพณีสักการะเจ้าพ่อปู่เสือ, ประเพณีสักการะเจ้าพ่อกว้าง ประชาชนในหมู่บ้านได้ร่วมกิจกรรมต่างๆ ทั้งในหมู่บ้าน และนอกหมู่บ้าน เช่น งานบวช งานแต่งงาน งานประเพณีต่างๆ
ประชากรทุกครัวเรือนเป็นสมาชิกกลุ่ม/กองทุนที่จัดตั้งขึ้นในชุมชน ได้แก่ กองทุนหมู่บ้าน สถาบันการเงินชุมชน กลุ่มผู้สูงอายุ กลุ่มสตรีแม่บ้าน กลุ่มออมทรัพย์ กลุ่ม ชรบ. กลุ่มอปพร. กลุ่ม อสม. กองทุนหมู่บ้าน บ้าน กองทุนพัฒนาการหมู่บ้านกองทุนสตรี กองทุนกลุ่มออมทรัพย์เพื่อการผลิตบ้านห้วยติ่ง เป็นชุมชนชนบท ขนาดเล็ก มีจำนวนครัวเรือน 167 ครัวเรือน ประชากรจำนวน 475 คน ชาย จำนวน 267 คน หญิง จำนวน 293 คน การประกอบอาชีพของประชาชนในหมู่บ้าน อาชีพหลัก ได้แก่ ทำนา ไร่อ้อย อาชีพอื่น ๆ ได้แก่ รับจ้างทั่วไป
ปัญหาก่อนดำเนินโครงการ จากการทบทวนสภาพปัญหาของชุมชน จัดลำดับความรุนแรงของปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาวะของคนในชุมชน โครงการ/กิจกรรมที่จะดำเนินการ แหล่งทุนที่คาดว่าจะได้รับ และทบทวนปัญหาที่มีความต้องการที่จะแก้ไขเร่งด่วนด้านยุทธศาสตร์การพัฒนาด้านคุณภาพชีวิตและสาธารณสุข (ด้านสุขภาพ) ภายใต้เงื่อนไขแผนพัฒนาหมู่บ้านหรือแผนชุมชน (ทำเอง ทำร่วม ทำขอหรือทำให้) ภายใต้การขับเคลื่อนของแกนนำชุมชน ในรูปแบบทีมสภาผู้นำชุมชน งบประมาณสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สำนัก 6 พบว่า
- คือ ปัญหาการระบาดของโรคไวรัสโคโรน่า 2019 (โควิด-19) ได้รับการประสานหน่วยงานรับผิดชอบ/แหล่งทุน ประเภททำขอ จากอบต.ดงคู่ รพ.สต.ดงคู่
- ปัญหาการระบาดของยาเสพติดและฟื้นฟูผู้เสพคืนสู่ครอบครัว ได้รับการประสานหน่วยงานรับผิดชอบ/แหล่งทุน ประเภท ทำร่วม จากกรมการปกครองและประเภททำขอ จากอบจ.สุโขทัย
- ปัญหาโรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน ได้รับการประสานหน่วยงานรับผิดชอบ/แหล่งทุน ประเภททำขอ จากกองทุนหลักประกันสสุขภาพตำบลดงคู่
- ปัญหาโรคติดต่อโดยแมลง (ไข้เลือดออก) ได้รับการประสานหน่วยงานรับผิดชอบ/แหล่งทุน ประเภททำร่วม จากรพ.สต.ดงคู่ และกองทุนหลักประกันสสุขภาพตำบลดงคู่
- ปัญหาสิ่งแวดล้อมและขยะในครัวเรือน ซึ่งขาดงบประมาณ
ทางทีมสภาผู้นำชุมชนและตัวแทนครัวเรือนจึงลงมติเอกฉันท์คัดเลือกที่จะแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมและขยะในครัวเรือน โดยขอรับการสนับสนุนงบประมาณจาก สสส. ซึ่งมีสถานการณ์ปัญหาดังนี้
ประชาชน จำนวน 115 ครัวเรือน ไม่มีการคัดแยกขยะ และจำนวน 57 ครัวเรือนมีการจัดการขยะด้วยวิธีเผากลางแจ้ง โดยมีปริมาณขยะภาคครัวเรือน เฉลี่ย 50 กิโลกรัมต่อเดือนต่อครัวเรือน แบ่งออกเป็นขยะทั่วไป 20 กิโลกรัมต่อเดือนต่อครัวเรือน ขยะอินทรีย์ 30 กิโลกรัมต่อเดือนต่อครัวเรือน และมีพื้นที่สาธารณะในชุมชนที่เสี่ยงต่อการทิ้งขยะ จำนวน 1 จุด
ทุนศักยภาพของชุมชน บ้านห้วยติ่ง หมู่ที่ 4 ตำบลดงคู่ มีทุนเดิมทั้งกรรมการหมู่บ้าน ปราชญ์ชาวบ้าน ความรู้ วัฒนธรรม ภาคีเครือข่าย ทรัพยากรสิ่งแวดล้อม กองทุนชุมชน แกนนำ ฐานข้อมูลชุมชนต่างๆที่สำคัญ เช่น ทุนทางสังคม ช่วยเหลือเกื้อกูล ขนบธรรมเนียมประเพณี ภูมิปัญญาที่ดี การสำนึกรักษ์และตอบแทนคุณบ้านเกิด ทุนทางเศรษฐกิจ มีการออมเงินกับกลุ่มชุมชน ทุนทางความมั่นคงและความสงบเรียบร้อย มีจิตอาสา มีการจัดตั้งแกนนำชุมชนในการดูแลและป้องกันและรักษาทรัพย์สินของประชาชน การอยู่เวรยามในการป้องกันอุบัติเหตุในช่วงเทศกาล การปฏิบัติหน้าที่เฝ้าระวังและป้องกันควบคุมโรคระบาดที่สำคัญ เช่น ไข้เลือดดอก โรคไวรัสโคโรน่า โควิด-19 เป็นต้น ทุนทางการบริหารจัดการ มีองค์การบริหารส่วนตำบลดงคู่ มีเครื่องมือในการจัดเก็บบันทึกข้อมูล และสนับสนุนการบริหารจัดการด้านต่างๆของหมู่บ้านเป็นอย่างดี และจากประสบการณ์ในการทำกิจกรรมด้วยกระบวนการมีส่วนร่วมของคนในชุมชนร่วมกับหน่วยงานต่างๆในตำบล ทำให้ผู้นำชุมชนและแกนนำกลุ่มต่างๆเกิดเรียนรู้ร่วมกัน สามารถทำงานร่วมกันได้เป็นอย่างดี อาทิเช่น การทบทวนแผนชุมชนพึ่งตนเอง การสร้างการมีส่วนร่วมในชุมชน และการใช้เวทีประชุมร่วมกับภาคีเครือข่าย แลกเปลี่ยนประสบการณ์การดำเนินงานในแต่ละประเด็น เพื่อเสริมพลัง ชื่นชมผลงานที่บรรลุวัตถุประสงค์ ร่วมปรึกษา แนวทางแก้ไขปัญหา เพื่อนำไปสู่การประเมินผลสำเร็จในข้อมูลเชิงประจักษ์
2.การก่อตัวของกลไกพี่เลี้ยง รพ.สต./อปท.
1) จำนวนพีเลี้ยงใน รพ.สต. การจัดโครงสร้างทีมพี่เลี้ยง รพ.สต.ดงคู่ ร่วมกับสภาผู้นำชุมชน 5 หมู่บ้าน รับทุนจาก สสส.ในปี 2565 โดยระยะเริ่มต้นโครงการคัดเลือกพี่เลี้ยง รพ.สต.ดงคู่ ร่วมทีมหนุนเสริมสภาผู้นำชุมชน จำนวน 4 คน ประกอบด้วย นักวิชาการสาธารณสุข รพ.สต.ดงคู่ จำนวน 2 คน และ เจ้าพนักงานสาธารณสุข อบต.ดงคู่ 1 คน รองนายก อบต. จำนวน 1 คน และระยะปิดโครงการมีพี่เลี้ยง จำนวน 3 คน เนื่องจากมีนักวิชาการสาธารณสุข จำนวน 1 คน ย้ายออกจากพื้นที่ แต่ทางสภาผู้นำชุมชนได้ประสานความร่วมมือจากผู้อำนวยการ รพ.สต.ดงคู่ ในการสนับสนุนบุคลากรร่วมเป็นพี่เลี้ยง และได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี จึงได้พี่เลี้ยงเพิ่มขึ้นหากได้รับงบประมาณในการดำเนินการปีถัดไป จำนวน 2 คน คือ พยาบาลวิชาชีพและเจ้าพนักงานสาธารณสุข โดยสรุปหากได้ดำเนินการในปีถัดไป พื้นที่ตำบลดงคู่ จะมีพี่เลี้ยง จำนวน 5 คน ประกอบด้วย
พี่เลี้ยงภายใน รพ.สต. จำนวน 3 คน คือ พยาบาลวิชาชีพ 1 คน นักวิชาการสาธารณสุข 1 คน เจ้าพนักงานสาธารณสุข 1 คน พี่เลี้ยง ภายนอก จำนวน 2 คน คือ เจ้าหน้าที่ อบต.ดงคู่ ประกอบด้วย รองนายก และ เจ้าพนักงานสาธารณสุข โดยมีนายรณชัย เชลียงรัชต์ชัย นักวิชาการสาธารณสุขชำนาญการ เป็นหัวหน้าพี่เลี้ยงหลัก มีการแบ่งบทบาทหน้าที่ในการหนุนเสริมสภาผู้นำชุมชน หัวหน้าทีม 2 หมู่บ้านและลูกทีมคนละ 1 หมู่บ้าน และอยู่ภายใต้การดูแลภาพรวมของหัวหน้าทีม
2) สมรรถนะพี่เลี้ยงใน รพ.สต. พบว่า อยู่ในขั้นที่ 3 พี่เลี้ยง รพ.สต. สามารถขับเคลื่อนงานร่วมกันระหว่าง รพ.สต. ชุมชน และภาคีได้ โดยพี่เลี้ยงหลักคือ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลดงคู่ สามารถหนุนเสริมให้ทีมสภาผู้นำชุมชนบ้านนาขุนไกร ร่วมเป็นคณะอนุกรรมการกองทุนหลักประกันสุขภาพตำบล อบต.ดงคู่ และร่วมเป็นคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับตำบล (พชต.) ตำบลดงคู่ได้ สามารถหนุนเสริมชุมชนในการจัดทำแผนงานโครงการหรือกิจกรรมเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาสุขภาพอย่างน้อย 1 ประเด็น โดยใช้กลไกการมีส่วนร่วมจัดทำแผนงานโครงการ ระหว่างทีมสภาผู้นำชุมชน และรพ.สต. ที่สอดคล้องกับแผนปฏิบัติการด้านสาธารณสุขของ รพ.สต. บรรจุอยู่ในแผนชุมชนพึ่งตนเองของหมู่บ้านได้ ครอบคลุมทุกด้าน ทุกประเด็น (ทำเอง ทำร่วม ทำขอ)
พบว่า การสร้างทีมพี่เลี้ยงที่มีสมรรถนะได้นั้น จำเป็นต้องเปิดใจพร้อมเรียนรู้สิ่งใหม่ และต้องมีความรู้ ความเข้าใจ เรื่องแนวคิดชุมชนน่าอยู่และกลไกสภาผู้นำชุมชน และมีพื้นฐานความรู้ความเข้าใจระบบการบริการด้านสุขภาพและงานสร้างเสริมสุขภาพแบบมีส่วนร่วม และเชื่อมโยงสู่แผนสุขภาพตำบล และที่สำคัญต้องมีใจเป็นหนึ่งเดียวกับชุมชน ยึดชุมชนเป็นศูนย์กลาง และรับรู้อุปสรรค รับประโยชน์ที่ได้รับร่วมกันทั้งสองฝ่าย
3.กลไกพี่เลี้ยง รพ.สต./อปท.
1) การกำหนดการกิจของทีมพี่เลี้ยง ทั้งในการเป็นผู้พัฒนาชุมชน และภารกิจของหน่วยงาน โดยผู้อำนวยการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลดงคู่และสภาผู้นำชุมชนบ้านห้วยไคร้ ร่วมกันกำหนดภารกิจของการดำเนินการประเด็นหลักร่วมกันคือ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เพิ่มการคัดแยกขยะ และลดปริมาณขยะในชุมชน จึงมีการกำหนดภารกิจหลักแก่ทีมพี่เลี้ยงในการหนุนเสริมชุมชน และร่วมพัฒนาชุมชนเพื่อให้สอดคล้องกับผลลัพธ์เชิงประเด็นของชุมชนและตัวชี้วัดของหน่วยงาน คือ การจัดการปัญหาขยะในชุมชน โดยปริมาณขยะในชุมชนที่เหลือจากการคัดแยกและใช้ประโยชน์ลดลงร้อยละ 60 จากเดิม 60 กิโลกรัมต่อครัวเรือนต่อเดือน เหลือ 32 กิโลกรัมต่อครัวเรือนต่อเดือน และลดปัจจัยที่เป็นสาเหตุของการเจ็บป่วยจากโรคที่มีความสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อม ( โรคไข้เลือดออก โรคซิก้า โรคอุจจาระ ลดลง ร้อยละ 20 จากค่ามัธยฐาน 5 ปี) ตาม MOU ว่าด้วยการดำเนินงานการจัดการสุขภาพระดับปฐมภูมิ ด้วยกลไกสภาผู้นำชุมชน ภายใต้การดำเนินงานโครงการชุมชนน่าอยู่ (Model รพ.สต.) การประสานความร่วมมือกับ รพ.สต.ในการขับเคลื่อนนโยบายการจัดการขยะและสิ่งแวดล้อม GREEN & CLEAN HOSPITAL และการดำเนินงานชุมชนสิ่งแวดล้อมเข็มแข็ง ACTIVE COMMUNINY กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข
2) การสื่อสารภายในทีมและหัวหน้าหน่วยงาน ประเด็นที่จำเป็นต้องสื่อสารต่อเนื่อง ประกอบด้วย ความรู้ความเข้าใจการทำงานชุมชนน่าอยู่ (โมเดล รพ.สต.) อาทิเช่น เรื่องแนวคิดชุมชนน่าอยู่และกลไกสภาผู้นำชุมชน การจัดทำแผนชุมชนพึ่งตนเอง การประเมินผลเพื่อการเรียนรู้และพัฒนา (ARE) และระบบการบริการด้านสุขภาพและงานสร้างเสริมสุขภาพแบบมีส่วนร่วม และเชื่อมโยงสู่แผนสุขภาพตำบล และออกแบบและเก็บข้อมูลสถานะสุขภาพของ รพ.สต. และข้อมูลเชิงประเด็นของทีมสภาผู้นำชุมชน รวมถึงการประสานการทำงานระหว่าง รพ.สต. สภาผู้นำชุมชนและหน่วยจัดการชุมชนน่าอยู่ภาคเหนือและภาคีในพื้นที่ตำบลนาขุนไกร
ทั้งนี้ เงื่อนไขสำคัญที่ทำให้การสื่อสารต่อเนื่อง เกิดประสิทธิผล นำไปสู่ความเข้าใจและทักษะได้นั้นจำเป็นต้อง มีการประชุมอย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง มีการหารือโครงการ สสส. และประเด็นอื่นๆในชุมชน และมีรายงานการประชุมทุกครั้ง และทุกคนสามารถเสนอความคิดเห็นในที่ประชุม มีช่องทางการสื่อสารที่พี่เลี้ยงเข้าถึงง่าย เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร ความก้าวหน้าในการทำงานทุกงานที่ชุมชนดำเนินการให้สมาชิกทีมพี่เลี้ยงรับทราบอย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง เพื่อช่วยกันวิเคราะห์จุด่อน จุดแข็งของชุมชน นำไปสู่การหนุนเสริมและแก้ไขปัญหาของชุมชนได้ทันเวลา ไม่มีความเสี่ยงระหว่างดำเนินงาน เช่น การจัดกิจกรรมตามกำหนดการ การเบิกจ่ายเงิน เอกสารการเงิน เอกสารสรุปความก้าวหน้า และการทำงานภายในทีมของสภาผู้นำชุมชน เป็นต้น
3) สภาผู้นำชุมชนเป็นผู้ตัดสินใจ และดำเนินงานต่างๆในชุมชนได้เองทั้งหมด โดยไม่ต้องพึ่งพาพี่เลี้ยง
วิธีการสื่อสารกับหัวหน้าหน่วยงานกรณีที่หัวหน้าไม่ได้เป็นพี่เลี้ยง
– รูปแบบการเรียนรู้ภายในทีม ใช้แนวทางการเรียนรู้จากการปฏิบัติจริงและมีส่วนร่วม โดยจำเป็นต้อง แผนในการหนุนเสริมการทำงานของทีมสภาผู้นำชุมชนด้วย จึงจะส่งผลต่อการเรียนรู้ภายในทีมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
– การสร้างการมีส่วนร่วมของทีมและการร่วมแก้ไขปัญหา ได้ดำเนินการโดย พี่เลี้ยง ต้องเข้าร่วมเข้าประชุมและร่วมกิจกรรมไม่น้อยกว่าร้อยละ 65 ของกิจกรรมในชุมชน และในการประชุมหรือร่วมกิจกรรม ผู้เข้าร่วมสามารถแสดงความคิดเห็น ร่วมตัดสินใจเรื่องการดำเนินงาน และเสนอแนะ พิจารณาปัญหาใหม่ๆ รวมทั้งมีการร่วมติดตามประเมินผลได้ทุกคน โดยจำเป็นต้องเปิดโอกาสให้พี่เลี้ยงและสมาชิกชุมชนเข้าประชุมและร่วมกิจกรรมไม่น้อย กว่าร้อยละ 65 และสมาชิกชุมชนทุกคน สามารถแสดงความคิดเห็นมากขึ้น หรือมีสมาชิกหน้าใหม่ร่วมแสดงความคิดเห็นมากขึ้น สมาชิกชุมชนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจมากขึ้น หรือมีสมาชิกหน้าใหม่ร่วมตัดสินใจ และสมาชิกชุมชนมีข้อเสนอแนะ หรือให้ทางเลือกใหม่ๆ ในการแก้ปัญหาชุมชนมากขึ้น และเพิ่มประสิทธิภาพการมีส่วนร่วมของทีมพี่เลี้ยงและสภาผู้นำชุมชน โดยเปิดโอกาสให้สมาชิกชุมชนมีส่วนร่วมในการติดตามประเมินผล หรือสามารถร่วมประเมินความสำเร็จของชุมชนได้ จึงจะส่งผลต่อการมีส่วนร่วมของทีมและการร่วมแก้ไขปัญหาทั้งในส่วนของทีมงานและต่อกลไกสภาผู้นำชุมชนในแต่ละหมู่บ้านได้
4.การบริหารจัดการเป้าหมายร่วมของพื้นที่
1) การกำหนดเป้าหมายร่วมกันระหว่าง รพ.สต.ดงคู่ องค์การบริหารส่วนตำบลดงคู่ และสภาผู้นำชุมขน ได้มีการกำหนดเป้าหมายร่วมกัน คือ ปริมาณขยะในชุมชนที่เหลือจากการคัดแยกและใช้ประโยชน์ลดลงร้อยละ 60 จากเดิม 60 กิโลกรัมต่อครัวเรือนต่อเดือน เหลือ 32 กิโลกรัมต่อครัวเรือนต่อเดือน และลดปัจจัยที่เป็นสาเหตุของการเจ็บป่วยจากโรคที่มีความสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อม (โรคไข้เลือดออก โรคซิก้า โรคอุจจาระ ลดลง ร้อยละ 20 จากค่ามัธยฐาน 5 ปี) โดยการกำหนดเป้าหมายร่วมกันให้เกิดการยอมรับ นำไปสู่การบรรลุเป้าหมายได้จริง จำเป็นต้อง ใช้ข้อมูลชุดเดียวกันและมีการกำหนดข้อตกลงร่วมกัน
2) การวางแผนการดำเนินงานร่วมกันระหว่าง รพ.สต.ดงคู่ และสภาผู้นำชุมขนจากเป้าหมายร่วมที่กำหนดด้วยการรวบรวมข้อมูลปริมาณขยะทั้งหมดในครัวเรือนต่อเดือน ครัวเรือนที่มีการคัดแยกขยะก่อนทิ้งและมีการใช้ประโยชน์จากขยะที่ผ่านการคัดแยก ปริมาณขยะอันตรายและขยะติดเชื้อในชุมชน รวมถึงค่าดัชนีลูกน้ำยุงลายในบ้าน (House Index) HI และค่าดัชนีลูกน้ำยุงลายในภาชนะ (Container Index) CI และอัตราป่วยด้วยโรคที่มีปัจจัยที่เป็นสาเหตุของการเจ็บป่วยจากโรคที่มีความสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อม เช่น โรคไข้เลือดออก โรคซิก้า โรคอุจจาระ ลดลง ร้อยละ 20 จากค่ามัธยฐาน 5 ปี มาประมวลผล จัดเวทีประชาคมทำความเข้าใจโครงการร่วมกับสมาชิกชุมชนรวมถึงการคืนข้อมูลให้แก่สมาชิกชุมชน
ทั้งนี้ จะต้องร่วมกันวิเคราะห์จุดเสี่ยง ค้นหาปัจจัยที่ทำให้เกิดขยะ เพื่อทำแผนการปรับปรุงจุดเสี่ยงต่อการทิ้งขยะ หรือแหล่งเพาะพันธ์เชื้อโรคที่เกิดจากขยะ โดยร่วมกันออกความคิดเห็น เพื่อทำความเข้าใจร่วมกันถึงลักษณะของขยะและการเกิดโรค และร่วมกันคัดเลือกและจัดลำดับจุดเสี่ยงที่ต้องการทำการปรับปรุงแก้ไขก่อน-หลัง และกำหนดข้อตกลงร่วมของชุมชนในการแก้ไขปัญหาขยะที่ชุมชนสามารถดำเนินการได้เอง จึงจะเกิดการยอมรับ จัดแบ่งหน้าที่และ นำไปสู่การปฏิบัติได้จริง
3) การติดตามและประเมินผลร่วมกันระหว่าง รพ.สต.ดงคู่ และสภาผู้นำชุมขนเพื่อให้บรรลุเป้าหมายร่วมที่กำหนดร่วมกัน ด้วยการ ร่วมประชุมประจำเดือนของสภาผู้นำชุมชน หรือของหมู่บ้านหรือของ รพ.สต. โดยมีขั้นตอนสำคัญ คือ 1) สรุปข้อมูลเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพที่สอดคล้องกับตัวชี้วัดในผลลัพธ์ประเด็นนั้นๆ 2) สะท้อนผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริงตามระยะเวลาที่ดำเนินโครงการ 3) เปรียบผลลัพธ์ที่ได้ว่าบรรลุเป้าหมายร่วมที่กำหนดไว้หรือไม่ 4) แลกเปลี่ยนเรียนรู้สิ่งดีๆที่เกิดขึ้น และร่วมเสนอแนะแนวทางการพัฒนาให้ดีขึ้นหรือแนวทางปรับปรุงให้บรรลุเป้าหมายร่วมที่กำหนดไว้ ทั้งนี้ ทุกครั้งจำเป็นต้องมีหรือต้องใช้ ข้อมูลจริงที่เก็บรวบรวมได้มาอ้างอิงและใช้จริงเป็นรูปธรรม จึงจะเกิดประโยชน์จากรูปแบบของการติดตามและประเมินผลร่วมกันระหว่างรพ.สต. และสภาผู้นำชุมขน
5.ผลลัพธ์การเปลี่ยนแปลงของชุมชน
1) ผลลัพธ์สมรรถนะสำคัญและการปรับเปลี่ยนวิธีทำงานของพี่เลี้ยง โดยเกิดผลลัพธ์ในระยะกลางของวิธีทำงานของพี่เลี้ยง คือ พี่เลี้ยง รพ.สต. มีทักษะในการหนุนเสริมการทำงานของสภาผู้นำชุมชนได้อย่างต่อเนื่องและสามารถขับเคลื่อนงานระหว่าง รพ.สต. อปท.และภาคีในชุมชนได้ ผ่านการถ่ายทอดแนวคิดชุมชนน่าอยู่และหนุนเสริมชุมชนให้เกิดกลไกสภาผู้นำชุมชน สนับสนุนกระบวนการจัดทำแผนชุมชนพึ่งตนเอง ร่วมออกแบบระบบการบริการด้านสุขภาพ และงานสร้างเสริมสุขภาพแบบมีส่วนร่วม และเชื่อมโยงสู่แผนสุขภาพตำบล หนุนเสริมทีมสภาผู้นำชุมชนร่วมเป็นคณะอนุกรรมการกองทุนหลักประกันสุขภาพตำบล หรือคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับตำบล (พชต.) เกิดการขับเคลื่อนนโยบายการจัดการขยะและสิ่งแวดล้อม GREEN & CLEAN HOSPITAL และขับเคลื่อนชุมชนสิ่งแวดล้อมเข็มแข็ง ACTIVE COMMUNINY ร่วมกัน มีการจัดทำแผนงานโครงการหรือกิจกรรมเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาสุขภาพอย่างน้อย 1 ประเด็น โดยใช้กลไกการมีส่วนร่วมจัดทำแผนงานโครงการ ระหว่างทีมสภาผู้นำชุมชน และ รพ.สต. ที่สอดคล้องกับแผนปฏิบัติการด้านสาธารณสุขของ รพ.สต. บรรจุอยู่ในแผนชุมชนพึ่งตนเอง โดยต้องมีหรือต้องใช้ แนวคิดสาธารณสุขมูลฐานกับการพัฒนาระบบบริการปฐมภูมิ (นโยบาย 3 หมอ) มาประยุกต์ร่วมด้วยจึงจะเกิดสมรรถนะได้ตามที่คาดหวัง ให้สอดคล้องกับบันไดผลลัพธ์ของโมเดล รพ.สต.
2) ผลลัพธ์สมรรถนะของกลไกสภาผู้นำชุมชน โดยเกิดผลลัพธ์ในระยะกลางของวิธีทำงานของสภาผู้นำชุมชน คือ สภาผู้นำชุมชนมีสมรรถนะในการเสริมพลังชุมชนและขับเคลื่อนงานตามแผนชุมชนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในชุมชนได้ โดยต้องมีหรือต้องใช้ เป้าหมายและข้อตกลงร่วมกัน ผ่านการประชุมอย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง มีการหารือโครงการ สสส. และประเด็นอื่นๆในชุมชน และมีรายงานการประชุมทุกครั้ง โดยมีผู้เข้าร่วมประชุมไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของจำนวนสมาชิกสภาผู้นำชุมชน ทุกคนสามารถเสนอความคิดเห็นในที่ประชุมได้ สภาผู้นำชุมชนเป็นผู้ตัดสินใจ และดำเนินงานต่างๆในชุมชนได้เองทั้งหมด โดยไม่ต้องพึ่งพาพี่เลี้ยง สภาผู้นำชุมชนสามารถดำเนินงานได้ตามบทบาทหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย มีการติดตามประเมินผลการดำเนินงานและคืนข้อมูลให้แก่ชุมชน และมีการปรับปรุงการดำเนินงานให้เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนด สภาผู้นำชุมชนมีการบริหารจัดการงบประมาณโครงการ สสส. และโครงการอื่นของชุมชน ด้วยความโปร่งใส จัดทำบัญชีรับจ่ายและแจ้งข้อมูลให้สมาชิกในชุมชนทราบทุกเดือน สภาผู้นำชุมชนสื่อสารข้อมูลข่าวสารความก้าวหน้าในการทำงานทุกงานที่ชุมชนดำเนินการให้สมาชิกชุมชนรับทราบอย่างน้อยเดือนละครั้ง สมาชิกสภาผู้นำชุมชนร้อยละ 100 จำนวน 25 คน และพี่เลี้ยง รพ.สต.ได้รับการพัฒนาศักยภาพทักษะการจัดการขยะและการทำงานของกลไกลสภาผู้นำชุมชน จำนวน 2 ครั้ง ในเรื่องเครื่องมือของชุดโครงการชุมชนน่าอยู่ การขับเคลื่อนชุมชนสิ่งแวดล้อมเข้มแข็ง ตำบลนาดงคู่ และการเชื่อมแผนงานโครงการของแผนชุมชนพึ่งตนเองกับแผนปฏิบัติการด้านสาธารณสุขของรพ.สต.และแผนพัฒนาตำบลดงคู่ ของอบต.ดงคู่ มีแผนงาน/โครงการ ที่จะดำเนินงานในรอบปีต่อไป โดยเชื่อมโยงจากโครงการเดิมและเชื่อมต่อกับแผนงาน/โครงการของรพ.สต.เพื่อจัดการระบบบริการสุขภาพ จำนวน 5 ประเด็น คือ 1. ขยะ 2. ยาเสพติด 3. โควิด-19 4. ไข้เลือดออก 5. โรคเรื้อรัง ที่สอดคล้องกับแผนสุขภาวะตำบลผ่านแผนชุมชนพึ่งตนเอง และมีแนวทางการเชื่อมแผนกับ รพ.สต.ดงคู่ อบต.ดงคู่ พบระดับความสุขของประชาชนในชุมชนอายุ 15 ปีขึ้นไปเพิ่มขึ้น 8.9 จากระดับเดิม 8.3 คะแนน จึงจะเกิดสภาที่มีสมรรถนะได้ตามที่คาดหวัง ที่สอดคล้องกับบันไดผลลัพธ์และ ความเข้มแข็ง 9 มิติได้
3) ผลลัพธ์การเปลี่ยนแปลงของประเด็นสุขภาพที่ดำเนินการร่วมกัน คือ ประเด็นการจัดการขยะ โดยเกิดผลลัพธ์ในระยะกลาง โดยครัวเรือนกลุ่มเป้าหมายร้อยละ 100 จำนวน 167 ครัวเรือน มีการคัดแยกขยะและใช้ประโยชน์จากขยะที่ผ่านการคัดแยก ครัวเรือนในชุมชนลดการเผาขยะ และร้อยละ 100 ขยะอันตรายและขยะติดเชื้อในชุมชนได้รับการจัดการอย่างถูกต้อง เกิดครัวเรือนตัวอย่าง 10 ครัวเรือน
ปัจจัยที่เป็นสาเหตุของการเจ็บป่วยจากโรคที่มีความสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อม โรคไข้เลือดออก โรคซิก้า โรคอุจจาระ ลดลง ร้อยละ 20 จากค่ามัธยฐาน 5 ปี ตัวชี้วัดร่วม รพ.สต. โดยช่วงเดือนตุลาคม 2564 – กันยายน 2565 มีอัตราป่วยเท่ากับ 0 ไม่พบผู้ป่วย และสภาผู้นำชุมชนและรพ.สต.ดงคู่ เกิดการขับเคลื่อนนโยบายการจัดการขยะและสิ่งแวดล้อม และขับเคลื่อนชุมชนสิ่งแวดล้อมเข้มแข็งร่วมกัน ซึ่งมีการประเมินตนเองอยู่ในระดับ ความเข้มแข็งอย่างยั่งยืน ผ่านการประเมินทั้ง 11 ข้อ โดยต้องมีหรือต้องใช้ข้อมูลชุดเดียวกันและมีการกำหนดข้อตกลงร่วมกัน จึงจะเกิดผลลัพธ์ได้ตามที่กำหนดไว้ในวัตถุประสงค์และตัวชี้วัดของโครงการระดับชุมชน
หมายเหตุ***ภาพกิจกรรมการดำเนินงานของสภาผู้นำชุมชนบ้านห้วยติ่ง